# AI (Artificial Intelligence) และ IA (Intelligent Augmentation) แตกต่างกันอย่างไร มนุษย์จะไปทางไหน
ในยุคดิจิทัลที่เข้ามาอย่างก้าวกระโดด คำว่า "AI" (Artificial Intelligence หรือ ปัญญาประดิษฐ์) และ "IA" (Intelligent Augmentation หรือ การเพิ่มความสามารถของมนุษย์ด้วยเทคโนโลยี) ได้กลายเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกันที่มักจะถูกกล่าวถึงพร้อมๆ กัน แต่แตกต่างกันอย่างไรนั้น เราจะมาวิเคราะห์โดยละเอียดในบทความนี้
เริ่มต้นจาก "AI" ที่เป็นการพัฒนาเครื่องจักรหรือระบบคอมพิวเตอร์ให้มีความสามารถในการประมวลผลข้อมูล การเรียนรู้ (machine learning), การตัดสินใจ, และแม้แต่การมีความคิดสร้างสรรค์ที่คล้ายคลึงกับมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ระบบจดจำใบหน้าหรือ chatbot ที่สามารถตอบคำถามได้เอง
ในขณะที่ "IA" คือการใช้เทคโนโลยีเพื่อขยายหรือเสริมสร้างความสามารถของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา, การทำงาน หรือการตัดสินใจ ตัวอย่างเช่น แว่นตาอัจฉริยะที่สามารถแสดงข้อมูลการนำทางหรือแปลภาษาแบบเรียลไทม์
หลักการสำคัญที่ทำให้ AI และ IA แตกต่างกันคือ "การควบคุม" และ "บทบาท" ที่เทคโนโลยีเหล่านั้นเล่นในสังคมมนุษย์
การควบคุม
AI มีแนวโน้มที่จะทำงานอย่างอิสระจากมนุษย์ มักถูกตั้งโปรแกรมให้ปฏิบัติหน้าที่ตาม logic ที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า แต่ IA มุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับมนุษย์ เปรียบเสมือนเป็นเครื่องมือที่พร้อมจะได้รับคำสั่งและปรับตัวตามความต้องการของผู้ใช้
บทบาท
AI มักถูกมองว่าเป็น "ผู้แทน" ของมนุษย์ในการทำงานที่ต้องการความรวดเร็วและความแม่นยำสูง ในขณะที่ IA มองว่าเป็น "ผู้ช่วย" ที่ขยายความสามารถของมนุษย์ให้สามารถทำงานได้ดีขึ้นกว่าเดิม
การที่เราจะเลือกที่จะไปกับ AI หรือ IA นั้นขึ้นอยู่กับความต้องการและบทบาทที่เราต้องการจากเทคโนโลยีเหล่านั้นในชีวิตประจำวันหรือธุรกิจของเรา
สำหรับ AI หนึ่งในประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ "การแทนที่แรงงานมนุษย์" หรือ "การสร้างโอกาสใหม่ๆ" ให้กับมนุษย์ เราจะเห็นโรงงานอัตโนมัติที่มนุษย์เพียงแค่ดูแลและควบคุม เป็นตัวอย่างที่ดีของการหารือเรื่อง AI ในมิติของการทำงานแทนมนุษย์
ในทางตรงกันข้าม IA อาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับสถานการณ์ที่เราต้องการ "ต่อยอด" หรือ "เพิ่มพูนความสามารถ" ให้กับมนุษย์ เช่น แพทย์ที่ใช้ระบบ IA เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางการแพทย์ที่ซับซ้อน
AI ในการจดจำภาพถ่าย
from imageai.Detection import ObjectDetection
import os
execution_path = os.getcwd()
detector = ObjectDetection()
detector.setModelTypeAsRetinaNet()
detector.setModelPath( os.path.join(execution_path , "resnet50_coco_best_v2.0.1.h5"))
detector.loadModel()
detections = detector.detectObjectsFromImage(input_image=os.path.join(execution_path , "image.jpg"), output_image_path=os.path.join(execution_path , "image_new.jpg"))
for eachObject in detections:
print(eachObject["name"] , " : " , eachObject["percentage_probability"] )
IA ช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้
การใช้แอปพลิเคชันในการเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ เช่น Duolingo หรือ Memrise ที่ใช้งานง่ายและมีทั้งเกมมิฟิเคชั่นและภาพประกอบที่ช่วยให้การเรียนเป็นเรื่องสนุกและมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าเราจะเลือกทางไหนระหว่าง AI และ IA จุดสำคัญคือการเข้าใจบทบาทและผลกระทบที่เทคโนโลยีเหล่านี้มีต่อสังคม การศึกษาและเข้าใจเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้สามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับบริบทที่มีอยู่
การอบรมหรือเรียนรู้การเขียนโปรแกรมจึงเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าใจและนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ ไม่ว่าจะเป็นระดับส่วนบุคคลหรือระดับองค์กร หากคุณกำลังมองหาทักษะในการพัฒนาและเข้าใจเทคโนโลยี AI และ IA เพิ่มเติม การเรียนรู้การเขียนโปรแกรมเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างมากในชีวิตประจำวันและธุรกิจของเราในปัจจุบันนี้.
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM