การเขียนโปรแกรมแบบฟังก์ชัน(Functional Programming) เป็นวิธีการที่ช่วยให้โค้ดของเรามีคุณภาพสูงขึ้นด้วยการเน้นย้ำการใช้ฟังก์ชันแทนการเปลี่ยนแปลงสถานะหรือข้อมูลโดยตรง การพัฒนาโปรแกรมด้วยวิธีนี้อาจทำให้โค้ดของเราอ่านง่ายขึ้น มีโครงสร้างที่เป็นระเบียบเรียบร้อย และลดโอกาสในการเกิดข้อผิดพลาดจาก side effects ในบทความนี้จะเสนอให้เห็นว่าการเปลี่ยนรูปแบบการเขียนโปรแกรมไปสู่แนวคิดของ Functional Programming สามารถทำให้โค้ดของคุณอ่านง่ายยิ่งขึ้นผ่าน 5 ตัวอย่างโค้ด
ฟังก์ชันที่ไม่สร้าง side effects หรือที่เรียกว่า Pure Functions เป็นหัวใจหลักของ Functional Programming ฟังก์ชันเหล่านี้คืนค่าออกมาโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลนอกตัวมันเอง ทำให้สามารถทดสอบได้ง่ายและมั่นใจในผลลัพธ์ที่สอดคล้องกัน
ตัวอย่านายที่อ่านง่ายด้วย Pure Function:
// ฟังก์ชันแบบไม่ล้วน (Non-Pure Function)
let number = 1;
function addTwo() {
number += 2;
}
// ฟังก์ชันแบบล้วน (Pure Function)
function addTwo(number) {
return number + 2;
}
Higher-order functions คือฟังก์ชันที่สามารถรับหรือ/และคืนค่าฟังก์ชันอื่น การใช้ Higher-order functions ช่วยให้เราสามารถสร้างโค้ดที่แปลเปลี่ยนได้ง่ายและลดการซ้ำซ้อนของโค้ด
ตัวอย่าง Higher-order function:
function map(array, transform) {
const result = [];
for (const item of array) {
result.push(transform(item));
}
return result;
}
const numbers = [1, 2, 3, 4];
const doubled = map(numbers, x => x * 2);
การใช้โครงสร้างข้อมูลที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ (Immutable Data Structures) ป้องกันข้อผิดพลาดจากการเปลี่ยนข้อมูลแบบไม่ตั้งใจ และทำให้โปรแกรมมีการทำงานที่สามารถติดตามได้ง่ายขึ้น
// ใน JavaScript, การใช้ `const` สามารถช่วยให้ array เป็น immutable บางส่วน
const numbers = Object.freeze([1, 2, 3, 4]);
numbers[0] = 10; // ไม่สามารถเปลี่ยนข้อมูลได้ โค้ดนี้จะไม่ทำงาน
การเขียนโปรแกรมแบบ Declarative ช่วยให้เราเขียนโค้ดที่สื่อสารว่า "เราต้องการอะไร" มากกว่า "เราจะทำมันอย่างไร" โดยเน้นการเขียน expression ที่อธิบายถึงผลลัพธ์
// แบบแผน Imperative
const numbers = [1, 2, 3, 4];
const doubled = [];
for (let i = 0; i < numbers.length; i++) {
doubled.push(numbers[i] * 2);
}
// แบบแผน Declarative ด้วยฟังก์ชัน `map`
const doubled = numbers.map(x => x * 2);
Recursion เป็นวิธีที่เพียบพร้อมใน Functional Programming, โดยใช้ฟังก์ชันเรียกตัวเองเพื่อทำการทำซ้ำ ในบางสถานการณ์การใช้ Recursion สามารถทำให้โปรแกรมอ่านง่ายกว่าการใช้ loops เพราะมีโครงสร้างที่ชัดเจนและลดซ้ำซ้อนของโค้ด
ตัวอย่างการใช้ Recursion:
function factorial(n) {
if (n === 0) {
return 1;
} else {
return n * factorial(n - 1);
}
}
การนำหลักการของ Functional Programming มาใช้ไม่เพียงแต่ทำให้โค้ดของเราอ่านง่าย แต่ยังเพิ่มความเข้าใจ และลดความซับซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นกับซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ สำหรับผู้ที่สนใจการเขียนโปรแกรมที่มีคุณภาพ การเรียนรู้การเขียนโปรแกรมแบบฟังก์ชันอาจเป็นการเริ่มต้นที่ดี คุณอาจจะไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนเรียนที่สถาบันใดทันที แต่การศึกษาข้อมูลและหาหนทางในการปรับปรุงทักษะของคุณเองนั้นสามารถทำได้ผ่านการอ่านบทความ การทดลองเขียนโค้ด และการค้นหาความรู้ผ่านแหล่งข้อมูลมากมายบนอินเทอร์เน็ต เมื่อพร้อม การเรียนรู้อย่างจริงจังที่สถาบันที่มีชื่อเสียงอย่าง EPT ก็เป็นทางเลือกที่อาจช่วยเติมเต็มประสบการณ์การเขียนโปรแกรมของคุณได้อย่างครบถ้วนและเป็นระบบ.
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
Tag ที่น่าสนใจ: functional_programming pure_functions higher-order_functions immutable_data_structures declarative_programming recursion javascript code_quality programming_paradigm
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM
Copyright (c) 2013 expert-programming-tutor.com. All rights reserved. | 085-350-7540 | 084-88-00-255 | ntprintf@gmail.com