# 5 เคล็ดลับ JavaScript สำหรับโปรแกรมเมอร์ที่เปลี่ยนสายมาจาก JAVA
การเปลี่ยนมาใช้ JavaScript จากการมีประสบการณ์กับภาษา JAVA เป็นการเปิดประตูสู่โลกของการพัฒนาเว็บและแอปพลิเคชั่นที่ใช้งานง่ายและอเนกประสงค์กว้างขวาง แต่การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเต็มไปด้วยความท้าทายเมื่อพิจารณาความแตกต่างของสองภาษาทั้งในแง่ของ syntax และพาราไดึมการเขียนโปรแกรม บทความนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะนำเสนอเคล็ดลับที่จะช่วยให้การเปลี่ยนถ่ายนี้เป็นไปได้สะดวกและราบรื่นมากขึ้น โดยมีตัวอย่างโค้ดเปรียบเทียบระหว่าง JAVA และ JavaScript เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น
JavaScript เป็นภาษาที่มีความหยืดหยุ่นสูงในการจัดการกับข้อมูล เนื่องจากเป็นภาษาแบบ dynamically typed ความแตกต่างนี้ทำให้ JavaScript สามารถเปลี่ยนแปลงประเภทของข้อมูลได้ตลอดเวลาในขณะที่ JAVA เป็น statically typed language ที่ต้องการการประกาศชนิดของตัวแปรก่อนใช้งาน
let data = "Hello World"; // เริ่มแรกเป็น string
console.log(data); // Hello World
data = 10; // ตอนนี้เปลี่ยนเป็น number
console.log(data); // 10
ใน JavaScript การเขียนโค้ดแบบ asynchronous เป็นเรื่องปกติ ด้วยการใช้ Promises และ async/await ซึ่งอาจเป็นความคุ้นเคยน้อยสำหรับโปรแกรมเมอร์ที่มาจาก JAVA ที่มักจะเรียกใช้งานในรูปแบบ synchronous
async function fetchUser() {
let response = await fetch('https://api.github.com/users/example');
let data = await response.json();
console.log(data);
}
fetchUser();
ใน JavaScript ฟังก์ชันสามารถถูกใช้เหมือนกับข้อมูลชนิดอื่น เช่น สามารถถูกเก็บเป็นตัวแปร ส่งเป็น arguments ให้ฟังก์ชันอื่น หรือถูก return ออกมาจากฟังก์ชัน
function greeting() {
return "Hello World!";
}
let sayHello = greeting;
console.log(sayHello()); // Output: Hello World!
แม้ว่า JavaScript จะไม่มี class ในรูปแบบที่ JAVA มีอย่างชัดเจนก่อน ES6 แต่ JavaScript สามารถสร้างโมเดลแบบ Object-Oriented ได้ผ่าน prototype ซึ่งให้การทำงานที่คล้ายคลึงกับ inheritance
function Person(name) {
this.name = name;
}
Person.prototype.getName = function() {
return this.name;
};
let person = new Person("John");
console.log(person.getName()); // Output: John
JavaScript ให้ความสำคัญกับ paradigms ของ Functional Programming ประโยชน์หนึ่งคือการทำงานกับ arrays ด้วย methods ที่เรียกว่า high-order functions เช่น map, filter และ reduce
let numbers = [1, 2, 3, 4, 5];
let squaredNumbers = numbers.map(n => n * n);
console.log(squaredNumbers); // Output: [1, 4, 9, 16, 25]
การเปลี่ยนไปใช้ JavaScript อาจดูวุ่นวายในครั้งแรก และอาจจะมีความรู้สึกว่าต้องเรียนรู้ทุกอย่างใหม่ แต่ด้วยกรอบของภาษาที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย การสร้างโค้ดที่ทั้งยืดหยุ่นและทรงพลังจึงใกล้เข้ามาทุกขณะที่คุณได้เรียนรู้และทดลองใช้ JavaScript อย่างจริงจังและสร้างสรรค์
ที่ EPT (Expert-Programming-Tutor) เรามีเส้นทางการเรียนรู้สำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะการเขียนโค้ดด้วย JavaScript ทั้งจากการเรียนด้วยตนเองและด้วยมืออาชีพ พร้อมทั้งมีความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนแปลงประโยชน์นำไปใช้กับโปรเจคในชีวิตจริงและการพัฒนาอาชีพของคุณในอนาคต
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM