# การใช้งาน if-else ในภาษา Dart สำหรับการตัดสินใจที่ชาญฉลาด
ในโลกของการพัฒนาโปรแกรม การมีเงื่อนไขสำหรับการตัดสินใจนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมันช่วยให้โปรแกรมของเราสามารถแยกแยะแนวทางปฏิบัติได้อย่างชัดเจนในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน และนี่คือที่มาของคำสั่ง if-else ในภาษา Dart ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีพลังในการจัดการเงื่อนไขต่างๆ วันนี้เราจะมาพูดถึงการใช้งานคำสั่งนี้แบบง่ายๆ พร้อมตัวอย่าง code และอธิบายการทำงาน ทั้งนี้มีตัวอย่าง usecase ในโลกจริง เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
ในภาษา Dart, โครงสร้างของ if-else มักใช้เพื่อตรวจสอบเงื่อนไข โดยมีแบบแผนดังนี้:
if (เงื่อนไข) {
// โค้ดที่จะทำงานเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง
} else {
// โค้ดที่จะทำงานเมื่อเงื่อนไขเป็นเท็จ
}
ถ้าเงื่อนไขที่กำหนดเป็นจริง (true), ก็จะทำโค้ดภายในบล็อก if แต่ถ้าเป็นเท็จ (false), มันก็จะข้ามไปทำโค้ดในบล็อก else แทน
ตัวอย่างที่ 1: เงื่อนไขพื้นฐาน
void main() {
var score = 80;
print('คะแนนของคุณคือ: $score');
if (score >= 50) {
print('ยินดีด้วย! คุณผ่านการทดสอบ');
} else {
print('เสียใจด้วย คุณไม่ผ่านการทดสอบ');
}
}
ในตัวอย่างนี้ เรามีตัวแปร `score` ที่เก็บคะแนนของนักเรียน โค้ด if-else จะตรวจเงื่อนไขว่าคะแนนเกิน 50 หรือไม่ หากเกินก็จะแสดงข้อความแสดงความยินดี แต่ถ้าไม่เกินจะแสดงข้อความว่าไม่ผ่านการทดสอบ
ตัวอย่างที่ 2: การเปรียบเทียบหลายเงื่อนไข
void main() {
var temperature = 35;
if (temperature > 30) {
print('อากาศร้อนมาก ดื่มน้ำเยอะๆนะ');
} else if (temperature > 20) {
print('อากาศกำลังดี ไปเที่ยวได้สบาย');
} else {
print('อากาศเย็น อย่าลืมแต่งตัวให้อบอุ่น');
}
}
ในตัวอย่างนี้ เรามีการตัดสินใจหลายอย่างขึ้นอยู่กับอุณหภูมิที่กำหนด หากเกิน 30 องศา แสดงว่าอากาศร้อน เกิน 20 องศาคืออากาศกำลังดี ถ้าไม่เกินก็คืออากาศเย็น
ตัวอย่างที่ 3: การใช้งาน Boolean Expression
void main() {
bool isRainy = true;
if (isRainy) {
print('อย่าลืมพกร่มไปด้วย');
} else {
print('วันนี้อากาศดี ใส่แว่นกันแดดได้เลย');
}
}
ที่นี่เรามีตัวแปรประเภท boolean ที่บอกสถานะว่าฝนตกหรือไม่ ถ้าฝนตก (`true`) ก็บอกให้พกร่ม ถ้าฝนไม่ตก (`false`) บอกให้ใส่แว่นกันแดดได้
การใช้งานคำสั่ง if-else ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในตัวอย่างข้างต้น แต่ยังสามารถนำไปใช้ในสถานการณ์จริงได้ดีเยี่ยม อย่างเช่นในการพัฒนาระบบจัดการคำสั่งซื้อสินค้า ต่อไปนี้คือตัวอย่างโค้ดที่ใช้ในระบบจัดการคำสั่งซื้อ:
void main() {
var totalAmount = 1500.0;
var discountThreshold = 1000.0; // ขั้นต่ำในการได้รับส่วนลด
var discountRate = 0.1; // ส่วนลด 10%
if (totalAmount > discountThreshold) {
var discount = totalAmount * discountRate;
totalAmount -= discount;
print('คุณได้รับส่วนลดจำนวน: $discount บาท');
}
print('ยอดรวมที่ต้องชำระ: $totalAmount บาท');
}
ในส่วนของ usecase นี้ เราตรวจสอบว่ายอดการซื้อเกินเงื่อนไขที่ร้านกำหนดหรือไม่ หากเกินก็จะได้รับส่วนลด และคำนวณยอดรวมใหม่ที่ลูกค้าต้องชำระ
การทำความเข้าใจกับคำสั่ง if-else และการรู้จักใช้งานมันให้เหมาะสมกับบริบทของการโปรแกรม เป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทุกคน ที่ Expert-Programming-Tutor (EPT) เรามั่นใจว่าหลักสูตรการเรียนการสอนของเราสามารถช่วยให้คุณพัฒนาทักษะนี้จนเชี่ยวชาญ หากคุณสนใจที่จะเรียนรู้การเขียนโปรแกรมอย่างมืออาชีพและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในอาชีพของคุณ ห้ามพลาดที่จะเข้าร่วมกับเราที่ EPT วันนี้!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
Tag ที่น่าสนใจ: dart if-else programming conditions boolean_expression coding_examples real-world_usecase decision_making programming_logic discount_calculation
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM