การใช้งาน OOP object oriented programming ในภาษา Dart แบบง่ายๆ พร้อมตัวอย่าง CODE 3 ตัวอย่าง และอธิบายการทำงาน และยกตัวอย่าง usecase ในโลกจริง

# การใช้งาน OOP (Object-Oriented Programming) ใน Dart ด้วยความเข้าใจที่เป็นธรรมชาติ

การเขียนโปรแกรมแบบวัตถุนิยมหรือ Object-Oriented Programming (OOP) เป็นพื้นฐานสำคัญที่ผู้เรียนทางด้านการเขียนโค้ดควรทราบอย่างถ่องแท้ และภาษา Dart ก็เป็นหนึ่งในภาษาที่ใช้ OOP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การพัฒนาแอปพลิเคชันด้วย Flutter ที่กำลังได้รับความนิยม

ในบทความนี้ เราจะพาผู้อ่านไปรู้จักกับแนวคิดของ OOP ใน Dart ผ่านตัวอย่างโค้ด 3 ตัวอย่าง พร้อมทั้งอธิบายการทำงานและยกตัวอย่าง use case ในโลกจริงที่สามารถนำไปใช้ เอาล่ะ ไปดูกันเลยดีกว่า!

แนวคิดพื้นฐานของ OOP

ก่อนที่เราจะดำดิ่งลึกลงไปกับ Dart มาทำความเข้าใจแนวคิดหลักๆ ของ OOP ซึ่งมี 4 ประการ:

ตัวอย่างโค้ดใน Dart

1. Encapsulation ด้วย Getter และ Setter

class Account {
  double _balance; // เริ่มต้นด้วย _ แปลว่า private property

  Account(this._balance);

  // Getter
  double get balance => _balance;

  // Setter
  set deposit(double amount) {
    if (amount > 0) {
      _balance += amount;
    }
  }
}

void main() {
  var account = Account(1000);
  account.deposit = 500; // เพิ่มเงิน
  print(account.balance); // แสดงผล 1500
}

ใน Dart, การใช้ `_` นำหน้าชื่อตัวแปรจะทำให้ตัวแปรนั้นเป็น private ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงจากภายนอกได้โดยตรง ต้องใช้ Getter และ Setter ในการเข้าถึงแทน ซึ่งช่วยให้ควบคุมการทำงานได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น

2. การสืบทอดคุณลักษณะ (Inheritance)

class Vehicle {
  String make;
  String model;

  Vehicle(this.make, this.model);

  void startEngine() {
    print('Engine started for $make $model');
  }
}

class ElectricCar extends Vehicle {
  double batteryLevel;

  ElectricCar(String make, String model, this.batteryLevel) : super(make, model);

  @override
  void startEngine() {
    print('Electric engine started for $make $model with battery at $batteryLevel%');
  }
}

void main() {
  var tesla = ElectricCar('Tesla', 'Model S', 90.0);
  tesla.startEngine();
}

ในตัวอย่างนี้, `ElectricCar` เป็น subclass ที่สืบทอดจาก `Vehicle` และมีการใช้ `@override` เพื่อแก้ไขการทำงานของเมธอด `startEngine` ได้อย่างเหมาะสมกับวัตถุที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า

3. การใช้ Polymorphism

abstract class Shape {
  double area();
}

class Rectangle extends Shape {
  double width, height;

  Rectangle(this.width, this.height);

  @override
  double area() => width * height;
}

class Circle extends Shape {
  double radius;

  Circle(this.radius);

  @override
  double area() => 3.14159265359 * radius * radius;
}

void renderArea(Shape shape) {
  print('The area is: ${shape.area()}');
}

void main() {
  var rect = Rectangle(10, 5);
  var circle = Circle(7);

  renderArea(rect);
  renderArea(circle);
}

ในตัวอย่างนี้ `Shape` เป็นคลาส abstract ที่มีเมธอด `area` ที่ยังไม่ได้ถูกนิยาม แต่ละ subclass (`Rectangle` และ `Circle`) ต้องมีการนิยามเมธอด `area` ตามโครงสร้างของตนเอง นั่นคือ `area` สำหรับ `Rectangle` คือ พื้นที่ผลคูณของกว้างและยาว ในขณะที่ `Circle` คือ พื้นที่ของวงกลม

Use Case ในโลกจริง

ระบบจัดการอสังหาริมทรัพย์ออนไลน์อาจเป็นตัวอย่างของการใช้ OOP ใน Dart: สามารถเป็นการกำหนดคลาสต่างๆ เช่น `Property`, `House`, `Apartment` โดยที่ `House` และ `Apartment` สืบทอดมาจาก `Property` แต่ละคลาสจะมีคุณลักษณะเฉพาะตัว เช่น ขนาดพื้นที่, จำนวนห้อง, ระดับพลังงาน, ฯลฯ และเมธอดเฉพาะที่ส่งผลต่อการคำนวณราคา การทำแบบนี้ทำให้โค้ดเป็นระเบียบและง่ายต่อการขยายฟังก์ชั่นในอนาคต

การเรียนรู้ OOP ใน Dart จะเปิดโอกาสและสร้างความเข้าใจที่แข็งแกร่งในการสร้างแอปพลิเคชันยุคใหม่ เชิญชวนผู้อ่านที่สนใจพัฒนาโดยใช้ Dart และ Flutter มาเรียนรู้พื้นฐานและลึกซึ้งมากขึ้นที่ EPT หรือ Expert-Programming-Tutor ซึ่งเป็นที่เรียนการสอนที่เต็มไปด้วยความเชี่ยวชาญ รองรับทั้งผู้เรียนใหม่และผู้เรียนที่ต้องการเพิ่มทักษะการเขียนโปรแกรมไปอีกระดับ บทความนี้มั่นใจว่าได้เปิดประตูสู่โลกของการเขียนโค้ดที่น่าตื่นเต้นและสร้างสรรค์แน่นอน พบกันในคลาสถัดไปที่ EPT!

หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง