Brute Force
เป็นเทคนิคการแก้ปัญหาที่ดูเหมือนจะเรียบง่าย โดยใช้การทดลองและตรวจสอบทุกทางเลือกที่เป็นไปได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ แนวทางนี้เหมาะสำหรับปัญหาที่มีขนาดเล็กและเมื่อจำนวนทางเลือกไม่มาก แต่ในกรณีที่มีทางเลือกหลายล้านหรือพันล้านทาง เทคนิคนี้อาจจะไม่เป็นที่นิยม เพราะความซับซ้อนในการคำนวณที่เพิ่มขึ้นจะใช้เวลานานเกินไปการใช้ Brute Force แก้ปัญหา
Brute Force มักถูกใช้ในสถานการณ์ที่ไม่มีวิธีการที่รวดเร็วหรือเป็นที่รู้จัก โดยทั่วไปประกอบไปด้วยการค้นหาค่าต่าง ๆ เช่น การเข้ารหัส การหาค่ามิน-แม็กซ์ หรือแม้กระทั่งการค้นหาความเป็นไปได้ในปัญหาคณิตศาสตร์ ซึ่งมีการประยุกต์ใช้หลายรูปแบบ เช่น:
1. การเข้ารหัสผ่าน (Password Cracking): ทดลองกุญแจทุกตัวจนกว่าจะพบรหัสผ่านที่ถูกต้อง 2. ปัญหาการเดินทางของพ่อค้า (Traveling Salesman Problem): คำนวณเส้นทางที่สั้นที่สุดในหลาย ๆ จุด 3. การหาผลรวมของชุดตัวเลข (Subset Sum Problem): ค้นหาชุดตัวเลขที่มีผลรวมเท่ากับค่าที่กำหนด
มาดูตัวอย่างการใช้ Brute Force ในการหาคำตอบจากการทดลองรหัสผ่าน ซึ่งในกรณีนี้จะเป็นการทดลองรหัสแบบ 3 หลัก
วิธีการทำงานของ Code
ในโค้ดด้านบน ฟังก์ชัน `bruteForcePasswordCrack` จะสุ่มรหัสผ่าน 3 หลักตั้งแต่ 000 ถึง 999 โดยใช้ลูป `for` เพื่อทดลองทุกค่าจนกว่าจะพบค่าที่ตรงกับรหัสผ่านที่เราต้องการ (ในกรณีนี้คือ '123') เมื่อค้นพบแล้ว ฟังก์ชันจะตอบกลับรหัสผ่านที่พบได้เลย
Brute Force Algorithm ถูกนำไปใช้ในหลายสถานการณ์ที่ต้องการการเข้าถึงข้อมูลที่มั่นคงและปลอดภัย เช่น ในการใช้งานของระบบรักษาความปลอดภัย เช่น เมื่อมีพยายามในการแฮ็คบัญชีผู้ใช้งานที่มีการตั้งรหัสผ่านที่คาดเดาได้ง่าย เช่น '123456' หรือ 'password'
นอกจากการเข้ารหัสผ่านแล้ว Brute Force ยังมีการใช้งานในการค้นหาความเป็นไปได้ในปัญหาทางคณิตศาสตร์ เช่น การหาค่าของ x ในสมการที่ซับซ้อน หรือในการจำลองการเล่นเกมที่ต้องหาวิธีที่ดีที่สุดในการผ่านด่านต่างๆ
Time Complexity
Brute Force มี Time Complexity ซึ่งส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับจำนวนทางเลือกที่เราต้องค้นหา เช่น ในการสุ่มรหัสผ่าน 3 หลัก เราต้องค้นหาภายในเวลา O(n) ที่ n คือจำนวนการทดลองที่เราต้องทำ
Space Complexity
ในทุกกรณีที่ใช้ Brute Force มักจะมี Space Complexity ค่อนข้างต่ำ เช่นในโค้ดตัวอย่างด้านบน เราใช้พื้นที่ค่อนข้างน้อยเพียงแค่สำหรับการเก็บรหัสผ่านเท่านั้น
ข้อดี
1. เรียบง่าย: เป็นวิธีที่เข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้ง่าย 2. ไม่ต้องมีข้อมูลเบื้องต้นซับซ้อน: ไม่จำเป็นที่จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับข้อมูลหรือเทคนิคที่ซับซ้อน 3. ฟังก์ชันทั่ว ๆ ไป: สามารถนำไปใช้ในหลาย ๆ ปัญหาหรือสถานการณ์ข้อเสีย
1. ใช้เวลานาน: เมื่อจำนวนทางเลือกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เวลาที่ต้องใช้ในการคำนวณจะสูงตามไปด้วย 2. ไม่เหมาะกับปัญหาขนาดใหญ่: สำหรับปัญหาที่มีความซับซ้อน จะต้องใช้แนวทางการแก้ปัญหาที่ดีกว่า 3. ไม่ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ: บางครั้งอัลกอริธึมนี้จะไม่ใช้ทรัพยากรที่ดีที่สุดในกระบวนการค้นหาผลลัพธ์
Brute Force Algorithm เป็นวิธีการที่เรียบง่ายแต่มีข้อดีข้อเสียที่ควรพิจารณา ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะสามารถแก้ปัญหาได้ในบางสถานการณ์ แต่ก็ไม่เหมาะกับทุกปัญหา การศึกษาความหลากหลายของอัลกอริธึมในการแก้ปัญหาต่าง ๆ รวมถึง Brute Force จะช่วยพัฒนาทักษะการเขียนโปรแกรมของคุณ
หากคุณสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมและวิธีการใช้ Algorithm ใน Dart หรือภาษาอื่น ๆ EPT (Expert-Programming-Tutor) คือสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดในการพัฒนาทักษะของคุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมีประสบการณ์มาก่อน มาเรียนรู้และร่วมกันพัฒนาความสามารถในการเขียนโปรแกรมกันเถอะ!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
Tag ที่น่าสนใจ: java c# vb.net python c c++ machine_learning web database oop cloud aws ios android
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM