ในโลกของการเขียนโปรแกรม แนวคิดและเทคนิคต่าง ๆ ที่เราใช้ในการแก้ปัญหาหลาย ๆ อย่างนั้นไม่มีกฎเหล็ก แต่ในบางครั้งวิธีที่เรียบง่ายที่สุดก็มักจะเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด หนึ่งในแนวทางเหล่านั้นก็คือ "Brute Force Algorithm" หรือเรียกง่าย ๆ ว่า "การคำนวณแบบทึบ" วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ Algorithm นี้กัน ว่าคืออะไร ใช้ในการแก้ปัญหาไหนได้บ้าง รวมถึงยกตัวอย่างโค้ดในภาษา Ruby พร้อมทั้งวิเคราะห์ Complexity และข้อดีข้อเสียของมัน
Brute Force Algorithm เป็นวิธีการที่ใช้การลองผิดลองถูกในการค้นหาคำตอบของปัญหา โดยเราจะพยายามทุกทางเลือกที่เป็นไปได้จนกว่าจะพบคำตอบที่ต้องการ ซึ่งแม้ว่าวิธีนี้อาจจะดูไม่เย้ายวนใจในด้านประสิทธิภาพ แต่ก็มีความเรียบง่ายและเข้าใจได้ง่าย ในบางกรณีมันช่วยให้เราสามารถแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้
เมื่อเราต้องการค้นหาค่าหนึ่งในชุดข้อมูล เช่น การตรวจสอบว่าหมายเลขบัตรประชาชนหรือชื่อผู้ใช้ที่ผู้ใช้งานกรอกเข้ามาในระบบนั้นมีอยู่ในฐานข้อมูลหรือไม่
2. หาค่าที่ดีที่สุดในปัญหา Optimization:เช่น การเดินทางที่สั้นที่สุดจากจุด A ไปจุด B โดยการลองทุกเส้นทางที่เป็นไปได้เพื่อหาทางที่ดีที่สุด
3. การเข้ารหัสและการถอดรหัส:Algorithm แบบ Brute Force มักจะใช้ในการทำลายระบบการเข้ารหัสโดยการลองรหัสทุกค่าที่เป็นไปได้จนกว่าจะได้รหัสจริง
สมมติว่าผมมีอาเรย์ของตัวเลข และต้องการค้นหาตัวเลขที่ต้องการในอาเรย์นั้น มาลองใช้ Brute Force Algorithm เป็นตัวอย่างกัน:
ในตัวอย่างข้างต้น ฟังก์ชัน `brute_force_search` จะวนลูปผ่านอาเรย์และเปรียบเทียบแต่ละค่ากับค่าที่เราต้องการ หากค้นพบจะคืนค่าตำแหน่งที่พบหรือ -1 หากไม่พบ
การวิเคราะห์ Complexity ของ Brute Force Algorithm ในตัวอย่างการค้นหานี้จะมีลักษณะดังนี้:
- Time Complexity: O(n)- เนื่องจากเราต้องวนลูปผ่านอาเรย์ทั้งหมด เพื่อตรวจสอบทุกค่า ในกรณีที่เราไม่พบค่าเป้าหมาย.
- Space Complexity: O(1)- เราใช้ที่เก็บข้อมูลขนาดเล็กเพียงไม่กี่ตัวแปรในการเก็บค่าและตำแหน่ง โดยไม่ได้ใช้ที่เก็บข้อมูลเพิ่มจากขนาดของอาเรย์
ข้อดี:
1. ความเรียบง่าย: โค้ดที่ใช้งานสามารถเข้าใจได้ง่าย จึงเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการเรียนรู้พื้นฐานของการเขียนโปรแกรม 2. ใช้งานได้ทั่วไป: เหมาะสำหรับการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีวิธีการที่ดีกว่าที่เรารู้จัก 3. ไม่จำเป็นต้องรู้ก่อนว่าอัลกอริธึมใด: เราไม่ต้องมีความรู้ด้านข้อมูลเชิงซ้อนมากนักข้อเสีย:
1. ประสิทธิภาพต่ำ: เมื่อปัญหามีขนาดใหญ่มาก อัลกอริธึมนี้จะใช้เวลานาน เนื่องจากต้องลองทุกทางเลือก 2. ไม่เหมาะกับปัญหาที่ซับซ้อน: หากปัญหามีหลายมิติหรือเป็น NP-complete อัลกอริธึมนี้อาจไม่เหมาะเลย 3. อาจใช้ทรัพยากรเยอะ: ในกรณีที่ขนาดของข้อมูลมีขนาดใหญ่มาก ๆ อาจต้องใช้เวลาหรือหน่วยความจำที่สูงในการคำนวณ
Brute Force Algorithm เป็นวิธีการที่มีความเรียบง่ายและใช้งานได้ในหลาย ๆ ปัญหา แม้ว่าจะมีข้อจำกัดในด้านประสิทธิภาพ แต่การใช้วิธีนี้ก็ยังเป็นที่นิยมเมื่อเราอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องการแนวทางที่รวดเร็วและไม่ซับซ้อน โดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้นหัดเขียนโปรแกรม
หากคุณต้องการเข้าใจ Algorithm และการเขียนโปรแกรมในเชิงลึกมากขึ้น เชิญเข้าศึกษาที่ EPT (Expert-Programming-Tutor) ที่นี่เรามีหลักสูตรและการสอนที่หลากหลาย ที่สามารถช่วยให้คุณพัฒนาทักษะการเขียนโปรแกรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น Brute Force Algorithm หรือ Concept ที่ซับซ้อนอื่น ๆ ก็ตาม!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
Tag ที่น่าสนใจ: java c# vb.net python c c++ machine_learning web database oop cloud aws ios android
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM