การใช้งาน nested if-else ในภาษา Kotlin แบบง่ายๆ พร้อมตัวอย่าง CODE 3 ตัวอย่าง และอธิบายการทำงาน และยกตัวอย่าง usecase ในโลกจริง

# การใช้งาน nested if-else ในภาษา Kotlin แบบง่ายๆ

ในโลกของการเขียนโปรแกรม, การตัดสินใจนับเป็นหัวใจหลักที่ช่วยให้โปรแกรมของเราสามารถทำงานตามเงื่อนไขที่กำหนดได้ ภาษา Kotlin เองก็มีโครงสร้างการควบคุมเช่นเดียวกับภาษาโปรแกรมมิ่งอื่นๆ โดยเฉพาะการใช้งาน `if-else` ซึ่งในบางครั้งเราอาจจะต้องใช้ `nested if-else` หรือ `if-else` ที่ซ้อนกัน เพื่อจัดการกับเงื่อนไขที่มีความซับซ้อน

ก่อนที่จะไปถึงตัวอย่างโค้ดและ usecase ในโลกจริง เรามาย่อยข้อมูลเกี่ยวกับ `nested if-else` กันก่อน

ความหมายของ nested if-else

Nested if-else คือการใช้งาน if-else ซ้อนกันเข้าไว้ โดยเราสามารถใส่ if-else ภายในบล็อก if หรือ else อีกที ทำให้สามารถตรวจสอบหลายๆ เงื่อนไขได้ตามลำดับ

ตัวอย่างโค้ดที่ 1: การตรวจสอบเกรด

fun main() {
    val score = 82

    if (score >= 80) {
        if (score >= 90) {
            println("เกรด A")
        } else {
            println("เกรด B")
        }
    } else {
        if (score >= 70) {
            println("เกรด C")
        } else {
            println("เกรด D")
        }
    }
}

การทำงาน: เริ่มจากตรวจสอบว่า `score` มากกว่าหรือเท่ากับ 80 หรือไม่ ถ้าใช่, ตรวจสอบต่อว่ามากกว่าหรือเท่ากับ 90 ไหม เพื่อให้สามารถแยกเกรด A และ B ออกจากกัน หากไม่ผ่านเงื่อนไขแรก, ตรวจสอบเงื่อนไขที่สองว่า `score` มากกว่าหรือเท่ากับ 70 เพื่อแยกเกรด C และ D

ตัวอย่างโค้ดที่ 2: การตรวจสอบอายุและสิทธิประโยชน์

fun main() {
    val age = 25
    val isStudent = true

    if (age <= 30) {
        if (isStudent) {
            println("คุณได้สิทธิ์ลดราคา 20%")
        } else {
            println("คุณได้สิทธิ์ลดราคา 10%")
        }
    } else {
        println("คุณไม่ได้สิทธิ์ลดราคา")
    }
}

การทำงาน: จะเริ่มตรวจสอบว่า `age` ของบุคคลไม่เกิน 30 ปีหรือไม่ หากไม่เกิน, ตรวจสอบเพิ่มเติมว่าเป็นนักศึกษาหรือไม่เพื่อกำหนดส่วนลดที่เหมาะสม

ตัวอย่างโค้ดที่ 3: การตรวจสอบการเข้าถึงระบบ

fun main() {
    val username = "admin"
    val password = "12345"
    val isActive = true

    if (username == "admin") {
        if (password == "1234") {
            if (isActive) {
                println("ยินดีต้อนรับ, คุณเข้าสู่ระบบแล้ว")
            } else {
                println("บัญชีของคุณไม่อยู่ในสถานะทำงาน")
            }
        } else {
            println("รหัสผ่านไม่ถูกต้อง")
        }
    } else {
        println("ชื่อผู้ใช้ไม่ถูกต้อง")
    }
}

การทำงาน: เช็คชื่อผู้ใช้ก่อน ถ้าถูกต้อง ต่อไปเช็ครหัสผ่าน แล้วค่อยตรวจสอบว่าบัญชีนั้นเปิดใช้งานอยู่หรือไม่

Usecase ในโลกจริง: ระบบการจัดการออเดอร์สินค้าออนไลน์

เมื่อมีลูกค้าสั่งซื้อสินค้าออนไลน์, เราอาจจะต้องตรวจสอบหลายเงื่อนไข เช่น ความพร้อมของสินค้า, การยืนยันออเดอร์, ตำแหน่งที่อยู่จัดส่ง โดยเราสามารถใช้ `nested if-else` ในการจัดการเงื่อนไขต่างๆ เพื่อพัฒนาโลจิกที่แม่นยำและเข้าใจง่าย

การศึกษาการเขียนโปรแกรมถือเป็นการศึกษาที่แสนจะโค้งคำนึงด้วยผู้เรียนต้องอ่านใจเครื่องจักรซึ่งมีเพียง ภาษาโค้ด ที่สื่อได้ ที่ EPT นั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเข้าใจหลักการและเทคนิคต่างๆ ในการสร้างโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของยุคสมัยได้ หากคุณสนใจที่จะเป็นนักพัฒนาที่สามารถออกแบบโลจิกอย่างชาญฉลาด ที่ EPT จะช่วยเปิดโลกการเขียนโปรแกรมให้คุณได้ไม่ยาก

หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง