ในโลกของการเขียนโปรแกรมและการพัฒนาซอฟต์แวร์ เรามักจะต้องทำงานกับข้อมูลที่มีความเชื่อมโยงซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นกราฟหรือเครือข่ายต่างๆ นั่นทำให้เราไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะต้องใช้ **Algorithm** สูตรหรือกฎในการจัดการข้อมูลเหล่านี้ ในบทความนี้เราจะพูดถึงหนึ่งใน Algorithm ที่สำคัญอย่าง **Bellman-Ford Algorithm** ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาการค้นหาเส้นทางที่สั้นที่สุดในกราฟที่มีน้ำหนักและที่สำคัญที่สุด คือสามารถจัดการกับกราฟที่มีขอบลบได้
Bellman-Ford Algorithm เป็น Algorithm ที่ใช้ในการค้นหาเส้นทางที่สั้นที่สุดจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดอื่นๆ ในกราฟที่อาจมีขอบที่มีน้ำหนักเชิงลบ (Negative Weight Edges) ซึ่งแตกต่างจาก Dijkstra's Algorithm ที่ทำงานได้ดีกับขอบแบบบวกเท่านั้น
การทำงานของ Algorithm นี้
:1. เริ่มต้นโดยการประกาศระยะทางจากจุดเริ่มต้นไปยังตัวอื่นๆ เป็นค่าอนันต์ (Infinity) แล้วตั้งค่าระยะทางจากจุดเริ่มต้นของเราเป็น 0
2. ทำการวนรอบ N-1 ครั้ง (N คือจำนวนเวอร์ตซ์ในกราฟ) ประกาศให้แต่ละขอบ (Edge) ส่งผลในการอัปเดตระยะทางที่สั้นที่สุดจากจุดเริ่มต้น
3. หลังจากนั้นจะต้องตรวจสอบหากยังมีการอัปเดตระยะทางได้อีกครั้งหนึ่ง นั่นหมายความว่ากราฟมีวงจรลบ (Negative Cycle) ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจะบอกได้ว่าไม่สามารถหาผลลัพธ์ที่ถูกต้องได้
เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เราจะมาดูตัวอย่างโค้ดของ Bellman-Ford Algorithm ที่เขียนโดยใช้ภาษา Kotlin กันดีกว่า
Bellman-Ford Algorithm เหมาะสำหรับการใช้งานในกราฟที่มีน้ำหนักแบบลบ เช่น ระบบการขนส่งที่อาจส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการขนส่งลดลงในกรณีต่างๆ หรือในแอปพลิเคชันการเงินที่มีการเปลี่ยนแปลงค่าเงินในช่วงเวลาต่างๆ ตัวอย่างการใช้งานในโลกจริงได้แก่:
1. การจำลองการขนส่งสินค้า: เมื่อต้องส่งสินค้าจากจุดต่างๆ ในเมืองที่มีอัตราค่าขนส่งแตกต่างกัน โดยอาจมีค่าธรรมเนียมที่ลดลงที่เป็นลบในการส่งสินค้าบางประเภท 2. ปัญหาการแข่งขันการเดินทาง: ในการกำหนดเส้นทางการเดินทางระหว่างสถานที่ต่างๆ ที่มีสถานการณ์ค่าใช้จ่ายที่ไม่แน่นอนหรือแม้กระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงแบบเชิงลบ
Complexity ของ Bellman-Ford Algorithm จะถูกวิเคราะห์โดยพิจารณาทั้งจำนวนเวอร์ตซ์ (`V`) และจำนวนขอบ (`E`) ดังนี้:
- เวลา (Time Complexity): O(V * E) - พื้นที่ (Space Complexity): O(V)ในการประเมินของ Time Complexity จะเกิดขึ้นเนื่องจากเราทำการวนรอบ Vertices (`V`) จำนวน N-1 ครั้ง และในแต่ละครั้งจะมีการวนผ่านขอบทั้งหมด (`E`)
ข้อดี:
1. รองรับกราฟที่มีน้ำหนักเชิงลบ: เป็นหนึ่งในไม่กี่ Algorithm ที่สามารถจัดการกับกราฟที่มีน้ำหนักเชิงลบได้ 2. ใช้งานง่าย: การนำเสนอ Algorithm ทำให้ไม่ต้องการโครงสร้างข้อมูลที่ซับซ้อนมากเกินไปข้อเสีย:
1. ประสิทธิภาพต่ำ: Comparatively slower than Dijkstra’s Algorithm, especially on larger graphs – you may find performance issues in heavy usage scenarios. 2. ไม่เหมาะสำหรับกราฟใหญ่: เนื่องจากเวลาในการทำลูปเป็น O(V * E) ย่อมทำให้มีความช้าลงถ้า {V} และ {E} เพิ่มขึ้นมากเกินไป
หากคุณต้องการพัฒนาทักษะการเขียนโปรแกรมและเรียนรู้เรื่องเช่น Bellman-Ford Algorithm อย่างมีประสิทธิภาพ มาเรียนรู้กับเราที่ EPT ได้เลย!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
Tag ที่น่าสนใจ: java c# vb.net python c c++ machine_learning web database oop cloud aws ios android
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM