การใช้งาน if-else ในภาษา Kotlin แบบง่ายๆ พร้อมตัวอย่าง CODE และอธิบายการทำงาน

ในโลกของการเขียนโปรแกรม แนวคิดหลักที่สำคัญคือการตัดสินใจในแต่ละขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบเงื่อนไขหรือการเลือกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในภาษา Kotlin เครื่องมือที่สำคัญในการจัดการเรื่องนี้คือ "if-else" ซึ่งเป็นโครงสร้างการควบคุมที่ให้เราสามารถทำงานนี้ได้อย่างง่ายดาย

เงื่อนไขพื้นฐานของ if-else

คำสั่ง `if` ทำงานโดยการตรวจสอบเงื่อนไขที่กำหนดให้เป็นจริง (true) หรือไม่จริง (false) ซึ่งปกติแล้วจะมีลักษณะคล้ายกับภาษาโปรแกรมอื่น ๆ แต่ใน Kotlin จะมีความยืดหยุ่นมากกว่า ดังนั้นเรามาดูตัวอย่างและอธิบายการทำงานกันดีกว่า

ตัวอย่าง CODE

 fun main() {
    val number = 10

    if (number > 0) {
        println("Number is positive")
    } else {
        println("Number is negative or zero")
    }
}

อธิบายการทำงาน

ในตัวอย่างข้างต้น เราได้กำหนดตัวแปร `number` เป็น 10 จากนั้นใช้คำสั่ง `if` เพื่อตรวจสอบว่า `number` มากกว่าศูนย์หรือไม่ หากเงื่อนไขเป็นจริง (ซึ่งในกรณีนี้เป็นจริง) โปรแกรมจะแสดงผลว่า "Number is positive" แต่ถ้าหาก `number` น้อยกว่าหรือเท่ากับศูนย์ โปรแกรมจะแสดงข้อความว่า "Number is negative or zero"

การใช้ if-else แบบหลายทางเลือก

Kotlin ยังสนับสนุนการใช้ `else if` เพื่อเพิ่มเงื่อนไขหลายประการ นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจหลายทางเลือก:

 fun main() {
    val score = 75

    if (score >= 90) {
        println("Grade: A")
    } else if (score >= 80) {
        println("Grade: B")
    } else if (score >= 70) {
        println("Grade: C")
    } else if (score >= 60) {
        println("Grade: D")
    } else {
        println("Grade: F")
    }
}

อธิบายการทำงาน

ในตัวอย่างนี้ เราตรวจสอบคะแนน (score) เพื่อกำหนดเกรด โดยใช้การประกาศคำสั่ง `if` และ `else if` หลายตัว เพื่อจัดการกับกรณีต่าง ๆ ของคะแนน หากคะแนนมากกว่าหรือเท่ากับ 90 จะได้เกรด A ถ้าน้อยกว่า 90 แต่มากกว่าหรือเท่ากับ 80 จะได้เกรด B และอื่น ๆ

Use Case ในโลกจริง

ในโลกจริง การนำ if-else ไปใช้บ่อยมาก เช่น ในแอพลิเคชันที่ให้บริการการตรวจสอบข้อมูลผู้ใช้ ขอยกตัวอย่างของระบบลงทะเบียนสมาชิก

ตัวอย่างเช่น ระบบลงทะเบียนสมาชิก

 fun registerUser(age: Int) {
    if (age < 18) {
        println("You must be 18 or older to register.")
    } else {
        println("Registration successful!")
    }
}

fun main() {
    registerUser(16) // Output: You must be 18 or older to register.
    registerUser(20) // Output: Registration successful!
}

ในกรณีนี้ ฟังก์ชัน `registerUser` จะตรวจสอบอายุของผู้ใช้ หากต่ำกว่า 18 ปี จะไม่อนุญาตให้ลงทะเบียน แต่ถ้าอายุมากกว่านี้ สามารถลงทะเบียนได้ตามปกติ

สรุป

ในบทความนี้ เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้งาน `if-else` ในภาษา Kotlin รวมถึงตัวอย่างของการใช้งานในโลกจริง การตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญในทุกการเขียนโปรแกรม หากคุณสนใจการเรียนการสอนภาษา Kotlin หรือการเขียนโปรแกรมอื่น ๆ ไม่ต้องรอช้า! มาเรียนรู้กับ EPT (Expert-Programming-Tutor) เพื่อเสริมสร้างทักษะการเขียนโปรแกรมของคุณไปอีกขั้นด้วยการเรียนรู้ที่เป็นระบบและมีคุณภาพ

การเรียนรู้การเขียนโปรแกรมไม่ได้เป็นเพียงแค่การเรียนรู้คำสั่งและฟังก์ชันเท่านั้น คุณจะได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ที่มีค่าซึ่งจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในด้านการเขียนโปรแกรมในอนาคต

อย่ารอช้า ลงทะเบียนเรียนกับ EPT วันนี้!

หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง