การใช้งาน nested if-else ในภาษา Swift แบบง่ายๆ พร้อมตัวอย่าง CODE 3 ตัวอย่าง และอธิบายการทำงาน และยกตัวอย่าง usecase ในโลกจริง

# การใช้งาน nested if-else ในภาษา Swift แบบง่ายๆ

การเขียนโปรแกรมนั้นท้าทายด้วยการแก้ปัญหาและการทำให้โค้ดทำงานได้ตามที่เราต้องการ สำหรับภาษา Swift ที่ถูกออกแบบมาสำหรับการพัฒนาแอพพลิเคชันบนแพลตฟอร์มของ Apple การใช้ `if-else` เป็นเทคนิคพื้นฐานที่ทุกนักพัฒนาต้องรู้ และเมื่อเราเจอกับการตัดสินใจที่มีหลายเงื่อนไข การใช้ `nested if-else` คือสิ่งที่จำเป็น

`Nested if-else` หมายถึงการใช้ if-else ซ้อนกัน เราสามารถใช้ if เพิ่มเติมในบล็อกของ if หรือ else เพื่อทำการตรวจสอบเงื่อนไขที่ซับซ้อนมากขึ้น

ตัวอย่างการใช้งาน

ตัวอย่างที่ 1: การตรวจสอบช่วงของตัวเลข

func checkNumber(value: Int) {
    if value > 0 {
        if value % 2 == 0 {
            print("เลขบวกและเป็นเลขคู่")
        } else {
            print("เลขบวกแต่เป็นเลขคี่")
        }
    } else if value < 0 {
        print("เลขลบ")
    } else {
        print("เลขศูนย์")
    }
}

checkNumber(value: 4)

เมื่อใช้ `checkNumber(value: 4)` โปรแกรมจะแสดงข้อความว่า "เลขบวกและเป็นเลขคู่"

ในตัวอย่างนี้เราได้ทำการตรวจสอบว่าตัวเลขที่ใส่เข้ามาเป็นบวกหรือลบ และบวกนั้นเป็นคู่หรือคี่

ตัวอย่างที่ 2: การตัดเกรดนักเรียน

func gradeStudent(score: Int) {
    if score >= 80 {
        print("เกรด A")
    } else if score >= 70 {
        if score >= 75 {
            print("เกรด B+")
        } else {
            print("เกรด B")
        }
    } else if score >= 60 {
        print("เกรด C")
    } else {
        print("เกรด F")
    }
}

gradeStudent(score: 77)

เมื่อนำเลข 77 มาทดสอบ ฟังก์ชัน `gradeStudent(score: 77)` จะแสดง "เกรด B+"

การใช้ `nested if-else` ช่วยให้เราเช็คเงื่อนไขภายในช่วงของคะแนนที่ใกล้เคียงกันได้

ตัวอย่างที่ 3: การตรวจสอบสิทธิ์ในการเข้าใช้งานระบบ

func accessControl(level: String, accessCode: Bool) {
    if level == "admin" {
        if accessCode {
            print("เข้าถึงระดับสูงสุด")
        } else {
            print("ต้องการ accessCode")
        }
    } else if level == "user" {
        print("เข้าถึงระดับผู้ใช้งาน")
    } else {
        print("ไม่มีสิทธิ์เข้าถึง")
    }
}

accessControl(level: "admin", accessCode: true)

ในตัวอย่างนี้ เมื่อเรียก `accessControl(level: "admin", accessCode: true)` โปรแกรมจะบอกว่า "เข้าถึงระดับสูงสุด" เพราะตรงกับเงื่อนไขของแอดมินที่มี accessCode

Usecase ในโลกจริง

นอกจากนี้ `nested if-else` นั้นมีความสำคัญกับการตัดสินใจใน software logic อย่างกรณีพัฒนาแอพพลิเคชัน ตัวอย่างเช่นการตรวจสอบขั้นตอนในการสร้างบัญชีผู้ใช้งาน ที่เราต้องตรวจสอบข้อมูลหลายขั้นตอน เช่น การตรวจสอบความยาวของรหัสผ่าน การเช็คว่าแอดมินอนุมัติหรือไม่ และเงื่อนไขอื่นๆ

เรียนรู้การโปรแกรมมิ่งนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิดและการเรียนที่ EPT จะช่วยทำให้คุณเข้าใจหลักการและเทคนิคต่างๆ อย่างชัดเจนและสามารถใช้งานจริงในโลกธุรกิจ ร่วมเรียนรู้และก้าวเข้าสู่โลกของการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีแต่โอกาสรอคุณอยู่ที่ EPT วันนี้!

หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง