บทความ: ความสำคัญของการใช้งาน Accessibility ในการเขียนโค้ดด้วยแนวคิด OOP ในภาษา Haskell
การเขียนโปรแกรมในยุคนี้ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่เพื่อให้เกิดการทำงานได้ถูกต้องเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงการออกแบบโครงสร้าง (Architecture) และการควบคุมการเข้าถึง (Accessibility) ระหว่างส่วนต่างๆของโปรแกรมด้วย เพื่อให้โปรแกรมนั้นมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนได้ง่ายในอนาคต หนึ่งในการออกแบบที่ได้รับความนิยมคือการใช้แนวคิดแบบ Object-Oriented Programming (OOP) วันนี้เราจะมาดูกันว่าการกำหนดระดับการเข้าถึงในภาษา Haskell ซึ่งเป็นภาษาที่มีพื้นฐานความคิดแบบ Functional Programming (FP) นั้นทำอย่างไร และมีข้อดีอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างการใช้งานในโลกจริง
Haskell นับว่าเป็นภาษาที่มีความพิเศษตรงที่เป็นภาษาที่ใช้แนวคิดของ FP ซึ่งอาจจะทำให้การใช้งานแนวคิด OOP ดูเหมือนจะไม่ชัดเจน แต่ในความเป็นจริง Haskell มีความยืดหยุ่น และสามารถที่จะใช้งานในรูปแบบ OOP ได้ผ่านการใช้ Typeclasses โดย Typeclass ใน Haskell นั้นคล้ายคลึงกับ Interface ในภาษา OOP แบบอื่นๆ
Accessibility หรือการกำหนดขอบเขตการเข้าถึง ใน OOP มีหลายระดับ เช่น public, private และ protected ซึ่งจะช่วยควบคุมการเข้าถึงฟังก์ชันหรือค่าต่างๆ ภายใน Object และ Class ใน Haskell, เราไม่มีการกำหนดระดับการเข้าถึงโดยตรงแบบนั้น แต่เราสามารถแสดงหรือซ่อน Functions และ Types ได้ผ่านการส่งออก (Exporting) และไม่ส่งออก (Not Exporting) ใน Module
ลองสร้าง Module ใช้ชื่อว่า `Car`:
module Car (Car, makeCar, accelerate) where
-- Car type ที่ซ่อนการเข้าถึงข้อมูลในพื้นที่อื่น
data Car = Car { company :: String, model :: String, speed :: Int } deriving (Show)
-- สร้างรถใหม่
makeCar :: String -> String -> Int -> Car
makeCar c m s = Car {company = c, model = m, speed = s}
-- ฟังก์ชันเร่งความเร็วรถ
accelerate :: Car -> Int -> Car
accelerate car increment = car { speed = speed car + increment }
ในตัวอย่างนี้ เรามี `Car` Type ที่เราไม่อนุญาตให้ส่วนอื่นของโปรแกรมเข้าถึง field ของ `Car` โดยตรง แต่ผ่าน `makeCar` และ `accelerate` เท่านั้น
2. การใช้ Typeclass สำหรับการกำหนดพฤติกรรม
class Drivable a where
start :: a -> String
stop :: a -> String
instance Drivable Car where
start car = "Starting the " ++ model car
stop car = "Stopping the " ++ model car
เมื่อเราสร้าง Typeclass `Drivable`, การกำหนดพฤติกรรมของ `Car` นั้นสามารถทำได้ผ่าน instance ของ Typeclass นี้
3. การกำหนดฟังก์ชันเฉพาะใน Module
module CarInternal (Car, repair) where
import Car (Car(..))
-- ฟังก์ชันซ่อมรถ
repair :: Car -> Car
repair car = car { speed = speed car + 10 }
เราสามารถมี `CarInternal` Module ที่จะทำงานกับ `Car` Type โดยตรงเพื่อการซ่อมบำรุง แต่นอกเหนือจากนี้ การเข้าถึง `Car` Type จะจำกัดอยู่กับสิ่งที่มีการส่งออกจาก Module `Car`
การควบคุม Accessibility นั้นสำคัญเป็นอย่างมากในการบำรุงรักษาและการขยายระบบ เช่นสมมติว่าเรากำลังพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับบริษัทงานจัดการยานพาหนะ การจำกัดการเข้าถึงข้อมูลและการซ่อมแซมไปยังฝ่ายบริการหลังการขายเท่านั้น คือการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูล หลีกเลี่ยงจากการแก้ไขส่วนที่ไม่ได้รับอนุญาต และคงไว้ซึ่งคุณภาพของยานพาหนะ
การใช้งาน Accessibility ใน Haskell ผ่าน OOP Concept นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ และพิสูจน์ได้ว่า Haskell นั้นเป็นภาษาที่มีความสามารถและยืดหยุ่นสูง ที่ EPT เราเสนอหลักสูตรการเรียนรู้ที่ครอบคลุมไม่เพียงแค่ Haskell แต่ยังรวมถึงแนวคิดเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมแบบ Object-Oriented และอื่นๆ เพื่อให้ผู้เรียนพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายในวงการเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เริ่มต้นหรือมืออาชีพ ที่ EPT คือสถานที่ที่จะเพิ่มเติมความรู้และทักษะแห่งอนาคตให้กับคุณ
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
Tag ที่น่าสนใจ: accessibility oop haskell functional_programming typeclasses module data_hiding typeclass drivable instance code_example real-world_usecase ept programming_language
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM