ในการเขียนโปรแกรม เรามักจะพบกับสถานการณ์ที่เราต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางการทำงาน (ทางเลือก) โดยนำข้อมูลบางอย่างมาเปรียบเทียบกัน ในภาษา Haskell ซึ่งเป็นภาษาโปรแกรมเชิงฟังก์ชัน ที่มีการใช้งาน "if-else" เพื่อทำการตัดสินใจเช่นเดียวกัน ในบทความนี้เราจะมาดูวิธีการใช้ "nested if-else" ใน Haskell พร้อมทั้งตัวอย่างโค้ดและการอธิบายการทำงานอย่างละเอียด
Nested If-Else หมายถึงการนำ if-else มาใช้ภายใน if หรือ else อื่น โดยที่คำสั่ง if จะทำงานได้ก็ต่อเมื่อเงื่อนไขที่กำหนดไว้เป็นจริง ซึ่งเราใช้ nested if-else เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้มากกว่าหนึ่งเงื่อนไขในเวลาเดียวกัน
ตัวอย่างโค้ด
ลองมาดูตัวอย่างการใช้งาน nested if-else ใน Haskell กันครับ
อธิบายการทำงาน
1. ฟังก์ชัน grade: ฟังก์ชันนี้จะตรวจสอบคะแนนที่ผู้ใช้ input เข้ามา โดยจะอยู่ในช่วง 0 ถึง 100 ถ้าคะแนนน้อยกว่า 0 หรือมากกว่า 100 ฟังก์ชันจะคืนค่า "คะแนนไม่ถูกต้อง" ถ้าคะแนนถูกต้อง ฟังก์ชันจะมีการเปรียบเทียบคะแนนในช่วงต่างๆ เพื่อตัดสินว่าเกรดที่ได้คืออะไร 2. main: ในฟังก์ชันนี้เราใช้ `putStrLn` เพื่อพิมพ์ข้อความไปยังคอนโซล จากนั้นเราจะรับค่าที่ผู้ใช้ input เข้ามาโดยใช้ `getLine` และแปลงค่าที่ได้จาก string เป็น integer จากนั้นเราจะเรียกใช้งานฟังก์ชัน `grade` เพื่อแสดงผลลัพธ์ตัวอย่าง Use Case ในโลกจริง
เมื่อพูดถึงการพัฒนาซอฟต์แวร์ การใช้ nested if-else สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในหลายๆ สถานการณ์ ตัวอย่างเช่น:
1. ระบบการบริหารคะแนนนักศึกษา: ในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย เราอาจใช้ nested if-else ในการที่ต้องการกำหนดเกรดของนักเรียนตามคะแนนสอบที่ได้รับ โดยระบบจะต้องพิจารณาคะแนนทั้งเกรด A, B, C, D และ F 2. ระบบการซื้อสินค้าออนไลน์: เมื่อลูกค้าสั่งสินค้าจำนวนมาก ระบบอาจจะต้องมีการตรวจสอบเงื่อนไขในการแจ้งเตือนหรือคิดเงื่อนไขส่วนลดต่างๆ ตามยอดซื้อ 3. การพัฒนาเกม: ในเกมที่มีการให้คะแนนหรือมีการตัดสินใจตามเงื่อนไขต่างๆ การใช้ nested if-else จะช่วยให้เราสามารถกำหนดการกระทำในแต่ละสถานการณ์ได้ง่าย โดยที่เราไม่ต้องการเขียนโค้ดที่ซับซ้อนเกินไปทำไมถึงควรเรียนรู้ Haskell ที่ EPT?
การเรียนรู้โปรแกรมมิ่งในภาษาที่หลากหลายเช่น Haskell จะช่วยให้เรามีทักษะในการคิดเชิงตรรกะ (logical thinking) และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในปัญหาเชิงซับซ้อนได้ นอกจากนี้ยังเป็นพื้นฐานที่ดีในการเรียนรู้การเขียนโปรแกรมในระดับที่ลึกขึ้น
ที่ EPT (Expert-Programming-Tutor) เรามีคอร์ส Haskell ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เข้าใจการทำงานของภาษา Haskell อย่างลึกซึ้ง การเรียนรู้จากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์จะทำให้คุณสามารถนำทักษะที่ได้เรียนรู้ไปใช้ในการสร้างโซลูชันที่มีคุณภาพได้
สรุป
การใช้ nested if-else ใน Haskell เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการตัดสินใจตามเงื่อนไขที่ซับซ้อน โดยเฉพาะในโปรแกรมที่ต้องการความถูกต้องในการคำนวณหรือการแสดงผล ลองนำโค้ดตัวอย่างไปประยุกต์ใช้ในโปรเจคต่างๆ ของคุณดูนะครับ หากคุณสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Haskell และการเขียนโปรแกรม สามารถมาเรียนรู้กับเราได้ที่ EPT ได้เลยครับ!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
Tag ที่น่าสนใจ: java c# vb.net python c c++ machine_learning web database oop cloud aws ios android
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM