# บทความ: การใช้งาน if statement ในภาษา Haskell พร้อมตัวอย่างจากโลกจริง
การเขียนโค้ดมีหลากหลายรูปแบบ และการใช้งานเงื่อนไขเป็นพื้นฐานของการเขียนโปรแกรมที่ดี ในภาษา Haskell ซึ่งเป็นภาษาแบบฟังก์ชัน, การใช้งานเงื่อนไขก็มีความเฉพาะตัวเช่นกัน วันนี้เราจะพูดถึงการใช้ if statement ในภาษา Haskell พร้อมตัวอย่าง CODE ที่จะทำให้คุณเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น และเพื่อให้การเรียนรู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับโลกแห่งความจริง เราจะทำการอธิบายการยกตัวอย่างใช้งาน (usecase) ด้วยเช่นกัน
ใน Haskell, `if statement` จะทำหน้าที่ตัดสินใจเลือกการทำงานระหว่างสองเส้นทางขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริง โดยมีรูปแบบดังนี้:
if condition then expression1 else expression2
หากเงื่อนไข (`condition`) เป็นจริง (`True`), Haskell จะประมวลผล `expression1`. ในทางกลับกัน, ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ (`False`), `expression2` จะถูกประมวลผลแทน.
ตัวอย่างที่ 1: ตรวจสอบจำนวนเป็นบวกหรือลบ
checkNumber :: Int -> String
checkNumber n = if n >= 0 then "Positive" else "Negative"
main = do
putStrLn $ checkNumber 5 -- Output: "Positive"
putStrLn $ checkNumber (-3) -- Output: "Negative"
ในตัวอย่างนี้ `checkNumber` รับจำนวนเต็ม `n` และใช้ `if statement` เพื่อตรวจสอบว่า `n` เป็นบวกหรือลบ จากนั้นส่งคืนคำว่า "Positive" หรือ "Negative" ตามลำดับ.
ตัวอย่างที่ 2: การหาค่าสูงสุด
maxNumber :: Int -> Int -> Int
maxNumber a b = if a > b then a else b
main = do
print $ maxNumber 10 5 -- Output: 10
print $ maxNumber 3 7 -- Output: 7
`maxNumber` เป็นฟังก์ชันที่รับเลขจำนวนเต็มสองตัว แล้วใช้ `if statement` เพื่อเลือกค่าที่มากที่สุด.
ตัวอย่างที่ 3: การตรวจสอบช่วงอายุ
checkAgeCategory :: Int -> String
checkAgeCategory age =
if age <= 12 then "Child"
else if age <= 19 then "Teenager"
else if age <= 65 then "Adult"
else "Senior"
main = do
putStrLn $ checkAgeCategory 10 -- Output: "Child"
putStrLn $ checkAgeCategory 16 -- Output: "Teenager"
putStrLn $ checkAgeCategory 30 -- Output: "Adult"
putStrLn $ checkAgeCategory 70 -- Output: "Senior"
ฟังก์ชัน `checkAgeCategory` จะเรียกใช้หลาย `if statement` เพื่อตรวจสอบช่วงอายุและคืนค่าหมวดหมู่ที่สอดคล้อง.
ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน, `if statement` เป็นจำเป็นเพื่อควบคุมการตัดสินใจตามเงื่อนไข เช่นในระบบการจัดส่งสินค้า, `if statement` อาจใช้เพื่อตรวจสอบว่าด้วยน้ำหนักและขนาดของพัสดุ รวมถึงจุดหมายปลายทาง กำหนดวิธีการจัดส่งได้อย่างไร ใครก็ตามที่พัฒนาระบบตัดสินใจอย่างฉลาด เป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรม IT.
การใช้ `if statement` ในภาษา Haskell นั้นไม่ซับซ้อน เพียงแต่มีความพิเศษที่มาจากวิธีการเขียนภาษาฟังก์ชัน ทำให้เข้าใจง่ายและชัดเจนช่วยการตัดสินใจ ณ จุดที่เงื่อนไขเป็นค้างคาว
หากคุณพร้อมที่จะขยายขอบเขตการเรียนรู้เกี่ยวกับ Haskell หรือภาษาโปรแกรมอื่นๆ, ทำไมไม่ลองเข้าร่วมหลักสูตรของเราที่ EPT ที่ซึ่งคุณจะเรียนรู้หลักการและแน่นอนโอกาสในการสร้างสรรค์โปรแกรมที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
Tag ที่น่าสนใจ: if_statement haskell programming_language conditional_statement functional_programming code_examples tutorial real-world_example usecase decision_making coding_basics
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM