การค้นหาข้อมูลเป็นหนึ่งในกิจกรรมพื้นฐานที่ทำกันบ่อยๆ ในการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หนึ่งในเทคนิคการค้นหาที่เรียบง่ายที่สุดคือ "Sequential Search" หรือการค้นหาแบบลำดับ ซึ่งเป็นการค้นหาที่ทำทีละตัวจนกว่าจะพบข้อมูลที่ต้องการ ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Sequential Search ในภาษา Julia ซึ่งเป็นหนึ่งในภาษาโปรแกรมมิ่งที่กำลังได้รับความนิยมสำหรับงานทางด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลและคณิตศาสตร์ เราจะไปดูกันว่า Sequential Search ทำงานอย่างไร พร้อมตัวอย่าง code และการนำไปใช้ในโลกจริง
การค้นหาแบบลำดับคือการเริ่มต้นที่ตัวแรกของข้อมูลและเดินทางผ่านลำดับข้อมูลทีละตัวจนกว่าจะเจอข้อมูลที่ต้องการค้นหา หรือจนกว่าจะสิ้นสุดข้อมูล แนวทางนี้ได้รับการพิจารณาว่ามีประสิทธิภาพต่ำสุด เพราะว่าในกรณีที่แย่ที่สุด (Worst-case scenario) จะต้องทำการตรวจสอบทุกตัวของข้อมูล
ด้วยตัวมันเอง Sequential Search อาจดูเหมือนขาดความซับซ้อน แต่ก็มีความมหัศจรรย์ในความเรียบง่ายที่สามารถใช้งานได้อย่างกว้างขวางในเมื่อทราบปัจจัยบางอย่าง เช่น ขนาดของข้อมูล และโอกาสในการพบข้อมูลที่ต้องการในตำแหน่งต่าง ๆ
ตัวอย่างที่ 1: ค้นหาข้อมูลใน array
function sequential_search(arr, item)
for i in 1:length(arr)
if arr[i] == item
return i # พบ item, คืนค่าด้ชี้ตำแหน่งที่พบ
end
end
return nothing # ไม่พบ item ใน array
end
# แสดงการใช้งาน
data = [5, 3, 2, 10, 4]
search_item = 10
found_index = sequential_search(data, search_item)
if found_index != nothing
println("พบข้อมูลที่ตำแหน่ง: \(found_index)")
else
println("ไม่พบข้อมูล")
end
ในตัวอย่างนี้, ฟังก์ชัน `sequential_search` จะผ่านไปที่ array `data` จนกว่าจะพบ `search_item` และคืนค่าด้ชี้ตำแหน่งใน array นั้นหรือคืนค่า `nothing` ถ้าไม่พบข้อมูล
ตัวอย่างที่ 2: ค้นหาข้อมูลใน list ของ strings
function sequential_search_string(list, target)
for (index, value) in enumerate(list)
if value == target
return index
end
end
return nothing
end
# ตัวอย่างการใช้งาน
names = ["Alice", "Bob", "Charlie", "Diana"]
target_name = "Charlie"
found_index = sequential_search_string(names, target_name)
if found_index != nothing
println("พบ \(target_name) ที่ตำแหน่ง: \(found_index)")
else
println("ไม่พบ \(target_name)")
end
ในตัวอย่างที่ 2, `sequential_search_string` ทำหน้าที่เช่นเดียวกับตัวอย่างแรกแต่สำหรับ list ของ strings
ตัวอย่างที่ 3: ค้นหาข้อมูลในเอกสาร
function sequential_search_document(lines, keyword)
for (lineno, line) in enumerate(lines)
if occursin(keyword, line)
return lineno
end
end
return nothing
end
# การใช้งาน
document = ["Julia is great for numerical computing",
"Data science and machine learning are exciting fields",
"Programming tutorials help learn new skills"]
keyword = "machine learning"
found_lineno = sequential_search_document(document, keyword)
if found_lineno != nothing
println("พบคำว่า '\(keyword)' ในบรรทัดที่ \(found_lineno)")
else
println("ไม่พบคำว่า '\(keyword)' ในเอกสาร")
end
ในตัวอย่างที่ 3, ฟังก์ชัน `sequential_search_document` ค้นหา keyword ในแต่ละบรรทัดของเอกสาร
Sequential search ถูกใช้ในโลกจริงในหลากหลายสถานการณ์ เช่น:
- การค้นหาสินค้าในร้านค้าซึ่งไม่มีการจัดเรียงข้อมูลที่ชัดเจน
- การค้นหาข้อมูลผู้ใช้ในฐานข้อมูลที่มีขนาดเล็ก
- การสแกนหาคำหรือวลีในเอกสารต่างๆ
การเรียนรู้วิธีการค้นหาแบบเรียบง่ายเช่น Sequential search มีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะมันเป็นพื้นฐานของอัลกอริทึมการค้นหาที่ซับซ้อนมากขึ้น ที่ Expert-Programming-Tutor (EPT), เรายินดีที่จะแนะนำและช่วยเหลือคุณในการเรียนรู้วิธีการพัฒนาอัลกอริทึมการค้นหาต่างๆ พร้อมส่งเสริมทักษะการเขียนโค้ดของคุณให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ร่วมเรียนรู้การเขียนโปรแกรมกับเราที่ EPT วันนี้ เพื่อเป็นหนึ่งในนักพัฒนาที่เข้าใจการทำงานของข้อมูลและตัวอย่างโค้ดที่สำคัญ!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
Tag ที่น่าสนใจ: sequential_search julia algorithm search_algorithm programming data_science code_example real-world_usecase
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM