การใช้งาน Set และ Get Function และ OOP Concept ในภาษา Julia แบบง่ายๆ

การเขียนโปรแกรมโดยใช้แนวคิด OOP (Object-Oriented Programming) เป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้สามารถจัดระเบียบโค้ดได้ง่ายและเข้าใจง่าย ในภาษา Julia นั้น OOP สามารถทำได้ง่ายๆ และยังมีความยืดหยุ่นสูง วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง set และ get function รวมถึงการใช้งาน OOP ในภาษา Julia พร้อมตัวอย่างโค้ดที่ชัดเจน และยกตัวอย่าง use case ที่นำไปใช้ในโลกจริง

ทำความเข้าใจกับ OOP และการสร้าง Class

OOP คือแนวคิดในการประมวลผลข้อมูลโดยการจัดกลุ่มฟังก์ชันและตัวแปรภายในวัตถุ (Object) ซึ่งช่วยให้การจัดการข้อมูลเป็นระบบมากขึ้นในโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่ ตัวอย่างของแนวคิดนี้คือการใช้คลาส (Class) และวัตถุ (Object)

โครงสร้างของ Class ใน Julia

ใน Julia เราสามารถสร้าง Class ของเราได้โดยใช้ keyword `struct` และในการสร้าง instance ของ Class นั้นคือวัตถุที่มีพฤติกรรมและคุณสมบัติ เราจะมาเริ่มกันด้วยการสร้าง Class ไว้ใช้งานกันเลย

 # สร้างคลาส Person
struct Person
    name::String
    age::Int
end

ในตัวอย่างข้างต้น เราได้สร้าง `Person` ที่มีคุณสมบัติสองอย่างคือ `name` และ `age` โดยที่เราสามารถสร้าง Object ของ `Person` ได้ดังนี้:

 # สร้าง Instance ของ Person
john = Person("John Doe", 30)
println("Name: ", john.name, " Age: ", john.age)

การสร้าง Set และ Get Function

ในการสร้าง set และ get function เราสามารถสร้างฟังก์ชันที่ช่วยให้เราสามารถเข้าถึงและปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของ Object ได้ เราจะสร้าง get และ set functions สำหรับคุณสมบัติ `age` ใน `Person` ดังนี้:

 # เพิ่มฟังก์ชันเซตและเก็ต
function set_age(p::Person, new_age::Int)
    return Person(p.name, new_age)
end

function get_age(p::Person)
    return p.age
end

การใช้งาน Set และ Get Function

เมื่อเราได้สร้างฟังก์ชัน set และ get ขึ้นมาแล้ว เราสามารถใช้งานฟังก์ชันเหล่านี้ได้ตามตัวอย่างด้านล่างนี้:

 # แสดงอายุปัจจุบัน
println("Current Age: ", get_age(john))

# เปลี่ยนแปลงอายุ
john = set_age(john, 31)
println("New Age: ", get_age(john))

ในตัวอย่างนี้เราจะเห็นว่าฟังก์ชัน `get_age` ใช้ในการเข้าถึงอายุปัจจุบันของ `john` ขณะที่ฟังก์ชัน `set_age` ช่วยให้เราสามารถเปลี่ยนอายุของ `john` ได้ง่ายๆ

Use Case ในโลกจริง

แนวคิด OOP และการใช้ Set และ Get Function นั้นมีการประยุกต์ใช้ในหลายๆ สถานการณ์ในโลกแห่งความจริง เช่น ในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชั่นที่มีการจัดการข้อมูลของผู้ใช้ เช่น ระบบสมาชิกในเว็บไซต์ที่มีการเก็บข้อมูลชื่อและอายุในตัว Object `User` ซึ่งสามารถเข้าถึงและปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ

ยกตัวอย่างเช่น หากเรากำลังพัฒนาเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ ที่มีการเก็บข้อมูลผู้ซื้อสินค้า และเราต้องการที่จะสร้างระบบการออกใบเสร็จรับเงิน โดยสามารถเก็บข้อมูลผู้ใช้และสถานะการซื้อได้ เราสามารถสร้าง Class `User` ขึ้นมาพร้อมกับ set และ get function ได้ดังนี้:

 struct User
    name::String
    age::Int
    purchase_status::String
end

function set_purchase_status(u::User, status::String)
    return User(u.name, u.age, status)
end

function get_purchase_status(u::User)
    return u.purchase_status
end

# สร้าง Instance ของ User
user1 = User("Mike", 25, "Pending")

# แสดงสถานะการซื้อ
println("Purchase Status: ", get_purchase_status(user1))

# เปลี่ยนแปลงสถานะการซื้อ
user1 = set_purchase_status(user1, "Completed")
println("New Purchase Status: ", get_purchase_status(user1))

สรุป

ในบทความนี้เราได้กล่าวถึงการใช้งาน Set และ Get Function รวมถึงแนวคิด OOP ในภาษา Julia แบบง่ายๆ โดยได้ให้ตัวอย่างโค้ดที่ทำให้เข้าใจมากขึ้น รวมถึงยกตัวอย่าง Use Case ที่สามารถประยุกต์ใช้ในโลกจริงได้

การเรียนรู้ OOP และการใช้ Set และ Get Function เป็นสิ่งที่สำคัญมากในโลกของการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถพัฒนาโปรแกรมที่มีความสามารถในการจัดการข้อมูลได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ

ตอนนี้ หากคุณต้องการเพิ่มพูนความรู้ของคุณเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมและแนวคิด OOP ในภาษา Julia คลาสเรียนที่ EPT (Expert-Programming-Tutor) ยินดีต้อนรับคุณสู่การเรียนรู้การเขียนโปรแกรมในภาษา Julia อย่างลึกซึ้ง เรียนรู้และสนุกไปกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพกับเรา!

หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง