OOP เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากในโลกของโปรแกรมมิ่ง ไม่ว่าคุณจะเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เริ่มต้นหรือมีประสบการณ์มากแค่ไหน ความเข้าใจใน OOP มีความสำคัญอย่างมาก ดังนั้นเรามาทำความรู้จักกับ OOP และพื้นฐานที่ต้องรู้เกี่ยวกับ OOP กันครับ
OOP หมายถึง Object-Oriented Programming หรือการเขียนโปรแกรมแบบเชิงวัตถุ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้การพัฒนาโปรแกรมเป็นไปอย่างมีระเบียบ โดยใช้อ็อบเจกต์ (Objects) เข้ามาเป็นหน่วยกลางในการเขียนโปรแกรม ทำให้การจัดระเบียบและการบำรุงรักษาโค้ดเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
OOP มีพื้นฐานที่สำคัญคือพิกัดมุมสามข้อ ที่คือ Encapsulation, Inheritance และ Polymorphism
Encapsulation หมายถึงการซ่อนรายละเอียดของอ็อบเจกต์ และสามารถเข้าถึงข้อมูลหรือการกระทำต่าง ๆ ได้ผ่านวิธีการที่ถูกกำหนดไว้ ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนในการใช้งานและทำให้โค้ดมีความปลอดภัยมากขึ้น
Inheritance คือการสืบทอดคุณสมบัติจากคลาสหรืออ็อบเจกต์อื่น ๆ ซึ่งช่วยลดขั้นตอนในการเขียนโค้ดใหม่ โดยนำคุณสมบัติที่มีอยู่มาใช้งานใหม่
Polymorphism หมายถึงความสามารถในการใช้เมธอดเดียวกันในทรัพยากรที่แตกต่างกัน โดยไม่จำเป็นต้องรู้ล่วงหน้าว่าทรัพยากรนั้น ๆ จริง ๆ แล้วมีคุณสมบัติและพฤติกรรมอย่างไร ซึ่งช่วยให้โค้ดมีความยืดหยุ่นและเข้าใจได้ง่ายขึ้น
โดยทั่วไปแล้ว OOP มีข้อดีมากมาย เช่น การนำเอาความซับซ้อนลงมาในระดับที่ง่ายขึ้น การเขียนโค้ดที่สามารถใช้ซ้ำได้ การจัดการและการบำรุงรักษาโค้ดที่ง่าย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม OOP ก็ยังมีข้อเสียบ้าง เช่น การทำให้โค้ดมีขนาดใหญ่ขึ้น การใช้ความจำที่มากขึ้น และความซับซ้อนที่มากขึ้น
ในการสร้างโปรแกรมแบบ OOP มีสมการหลัก ๆ ที่ควรจำไว้คือ S.O.L.I.D
- S: Single Responsibility Principle หมายถึง หนึ่งคลาสควรมีหน้าที่เพียงหนึ่งอย่าง
- O: Open/Closed Principle หมายถึง โปรแกรมควรเปิดให้สามารถขยายคุณสมบัติของคลาสได้ แต่ไม่ควรแก้ไขคำสั่งภายในคลาสนั้นโดยตรง
- L: Liskov Substitution Principle หมายถึง การสามารถใช้อ็อบเจกต์ในหรือจากคลาสย่อยได้โดยไม่ทำให้โปรแกรมผิดหลุด
- I: Interface Segregation Principle หมายถึง ควรแยกอินเทอร์เฟซที่หาไม่ได้ไปอย่างไม่จำเป็น
- D: Dependency Inversion Principle หมายถึง ควรประมูลสร้างความเชื่อมโยงของคลาสการ์ให้มีอันเป็นอิสระจากคลาสย่อย
เมื่อทราบคุณสมบัติพื้นฐานและหลักการของ OOP แล้ว เรามาดูว่า OOP นี้มีประโยชน์อย่างไรในงานจริง ๆ
เช่น การพัฒนาโปรแกรมแบบ OOP ช่วยให้องค์กรสามารถจัดระเบียบโค้ดและทรัพยากรที่ใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำให้มีความยืดหยุ่นในการปรับปรุงโค้ดและเพิ่มคุณสมบัติใหม่ และการนำโครงสร้างของซอฟต์แวร์ไปใช้ซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ก็ต้องทำลายสิ่งที่ดี หนึ่งในข้อเสียของ OOP คือการทำให้โค้ดมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจทำให้โปรแกรมทำงานช้าลง และการจำเป็นต้องใช้ความจำที่มากขึ้น และการดูแลรักษาโค้ดอาจทำให้เกิดความซับซ้อนขึ้น
เพราะฉะนั้น การใช้ OOP นั้นไม่ได้มีแค่ข้อดี แต่ก็ยังมีข้อเสียด้วย ดังนั้นการตัดสินใจในการใช้ OOP ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมและความต้องการของโครงการด้วย
สุดท้ายแล้ว OOP นั้นเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการพัฒนาซอฟต์แวร์ และการใช้หรือไม่ใช้ก็ขึ้นอยู่กับทางเลือกและภูมิคุ้มกันของทีมพัฒนาซอฟต์แวร์เอง หวังว่าบทความนี้จะช่วยเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับ OOP และช่วยให้ท่านทำการตัดสินใจในการใช้ OOP ได้อย่างเหมาะสม
class Animal:
def __init__(self, name):
self.name = name
def make_sound(self):
pass
class Dog(Animal):
def make_sound(self):
return "Woof!"
class Cat(Animal):
def make_sound(self):
return "Meow!"
my_dog = Dog("Buddy")
my_cat = Cat("Whiskers")
print(my_dog.make_sound()) # Output: Woof!
print(my_cat.make_sound()) # Output: Meow!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
Tag ที่น่าสนใจ: oop object-oriented_programming encapsulation inheritance polymorphism s.o.l.i.d single_responsibility_principle open/closed_principle liskov_substitution_principle interface_segregation_principle dependency_inversion_principle programming python
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM
Copyright (c) 2013 expert-programming-tutor.com. All rights reserved. | 085-350-7540 | 084-88-00-255 | ntprintf@gmail.com