ในโลกของโปรแกรมมิ่ง มีหลายแนวทางที่นักพัฒนาโปรแกรมสามารถเลือกใช้ เพื่อให้โปรแกรมที่พัฒนามีโครงสร้างที่เป็นระเบียบและมีประสิทธิภาพ วันนี้เราจะมาพูดถึงความแตกต่างระหว่าง OOP (Object-Oriented Programming) กับโปรแกรมมิ่งแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นสองแนวทางหลักที่นักพัฒนาโปรแกรมสามารถพัฒนาโปรแกรมได้ เราจะมาทำความเข้าใจคุณสมบัติและข้อแตกต่างของทั้งสองแนวทางกัน
OOP (Object-Oriented Programming) เป็นแนวคิดในการเขียนโปรแกรมที่เน้นไปที่วัตถุ (Object) โดยเราจะสร้าง Object ขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนของสิ่งต่างๆ ในโลกของโปรแกรม และสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง Object ต่างๆ นั้นด้วย ซึ่ง OOP มีลักษณะเด่นคือการใช้คุณสมบัติของ Object และการสืบทอดคุณสมบัติ (Inheritance) ซึ่งทำให้โค้ดมีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ
แต่ในทางของโปรแกรมมิ่งแบบดั้งเดิม รูปแบบการเขียนโค้ดจะเน้นไปที่การทำงานตามลำดับ (Procedural Programming) โดยโค้ดจะถูกเขียนเป็นลำดับขั้นตอนตามลำดับของโปรแกรม โดยไม่ได้เน้นไปที่การสร้าง Object หรือการสืบทอดคุณสมบัติ ทำให้โค้ดอาจจะยากต่อการบำรุงรักษาและการเพิ่มขนาดของโค้ด
หนึ่งในคุณสมบัติที่ OOP มีและโปรแกรมมิ่งแบบดั้งเดิมไม่มีคือ Encapsulation ที่ช่วยในการกำหนดความปลอดภัยของโค้ดและลดความซับซ้อนของโค้ด การใช้ Encapsulation ทำให้การเปลี่ยนแปลงโค้ดภายใน Object นั้นๆ ไม่กระทบกับโค้ดภายนอก ซึ่งช่วยลดความผิดพลาดในการเขียนโค้ด
อีกคุณสมบัติที่ OOP มีและโปรแกรมมิ่งแบบดั้งเดิมไม่มีคือ Polymorphism ที่ช่วยในการเรียกใช้คำสั่งภายใน Object ได้อย่างยืดหยุ่น ในขณะที่ในโปรแกรมมิ่งแบบดั้งเดิม การเรียกใช้คำสั่งจะต้องอ้างอิงถึง Object เฉพาะ ซึ่งทำให้โค้ดมีความยุ่งยากในกรณีที่ต้องการใช้งานบางคำสั่งบน Object ต่างๆ ที่มีโครงสร้างคล้ายกัน
นอกจากข้อดีข้อเสียของ OOP และโปรแกรมมิ่งแบบดั้งเดิมแล้ว นักพัฒนาโปรแกรมควรพิจารณาถึงลักษณะของโค้ดที่ต้องการพัฒนาพร้อมทั้งวัตถุประสงค์ของโปรแกรมที่ต้องพัฒนาด้วย ซึ่ง OOP เหมาะสำหรับโปรแกรมที่มีโครงสร้างซับซ้อนและต้องการมีความยืดหยุ่นในการเพิ่มเติมคุณสมบัติในภายหลัง ในขณะที่โปรแกรมมิ่งแบบดั้งเดิมเหมาะสำหรับโปรแกรมที่มีโครงสร้างเรียบง่ายและการทำงานเป็นลำดับขั้นตอน
เมื่อพิจารณาถึงลักษณะของโปรแกรมที่ต้องพัฒนาแล้ว นักพัฒนาโปรแกรมควรทำความเข้าใจถึงคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียของทั้ง OOP และโปรแกรมมิ่งแบบดั้งเดิม เพื่อเลือกใช้แนวทางที่เหมาะสมต่อความต้องการของโปรแกรมและความสามารถในการบำรุงรักษาโค้ดในระยะยาว
ในที่สุด ไม่ว่าจะเป็น OOP หรือโปรแกรมมิ่งแบบดั้งเดิม การเลือกใช้แนวทางใดก็ควรทำการทดสอบโปรแกรมอย่างละเอียด และทำการทดสอบการทำงานของโปรแกรมโดยตรง เพื่อให้แน่ใจว่าโปรแกรมที่พัฒนามีความเสถียรและมีประสิทธิภาพในการทำงาน
การทดสอบโปรแกรมอย่างละเอียดคำสั่งหนึ่งในโค้ดนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก เนื่องจากคำสั่งนั้นจะถูกใช้งานอยู่ซ้ำๆ และอาจมีผลต่อโค้ดที่พัฒนาซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานทั้งหมดของโปรแกรม ดังนั้น การทดสอบโปรแกรมให้ละเอียดและครอบคลุมคำสั่งทุกกลุ่ม เป็นเรื่องที่สำคัญ
ในกรณีที่ทำการทดสอบโปรแกรมแล้วพบข้อผิดพลาดในโค้ด นักพัฒนาโปรแกรมควรทำการแก้ไขโปรแกรมโดยทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อผิดพลาดนั้นส่งผลกระทบต่อการทำงานของโปรแกรม และอาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานโปรแกรมด้วย
ในส่วนของโค้ดตัวอย่าง Programming ที่ใช้ OOP สามารถแสดงได้ดังนี้
class Animal:
def __init__(self, name):
self.name = name
def make_sound(self):
pass # Abstract method
class Dog(Animal):
def make_sound(self):
return "Woof!"
class Cat(Animal):
def make_sound(self):
return "Meow!"
dog = Dog("Buddy")
cat = Cat("Whiskers")
print(dog.make_sound()) # Output: Woof!
print(cat.make_sound()) # Output: Meow!
จากตัวอย่างโค้ดด้านบน จะเห็นว่ามีการสร้าง Class ชื่อ Animal และสร้าง Class ชื่อ Dog และ Cat ซึ่งสืบทอดคุณสมบัติจาก Class Animal และมี method make_sound ที่แตกต่างกันในแต่ละ Class ซึ่งแสดงถึงคุณสมบัติ Polymorphism ที่ OOP มี
สำหรับโปรแกรมมิ่งแบบดั้งเดิม ถ้าเราต้องการทำคำสั่งแบบ Procedural Programming เราสามารถเขียนโค้ดได้ดังตัวอย่างด้านล่าง
def make_sound(animal_type):
if animal_type == "dog":
return "Woof!"
elif animal_type == "cat":
return "Meow!"
print(make_sound("dog")) # Output: Woof!
print(make_sound("cat")) # Output: Meow!
จากตัวอย่างโค้ดด้านบน จะเห็นว่าโค้ดเน้นที่การสร้างฟังก์ชัน make_sound โดยใช้เงื่อนไขเพื่อตรวจสอบประเภทของสัตว์และคืนค่าเสียงของสัตว์นั้นๆ ซึ่งเป็นการทำงานตามลำดับขั้นตอน นอกจากนี้ยังขาดคุณสมบัติ Encapsulation และ Inheritance ที่ทำให้โค้ด OOP มีความยืดหยุ่นและถูกจัดการความสัมพันธ์ระหว่าง Object ที่เป็นตัวแทนของสิ่งต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
เกิดจากความแตกต่างระหว่าง OOP กับโปรแกรมมิ่งแบบดั้งเดิม นักพัฒนาโปรแกรมควรพิจารณาถึงลักษณะของโค้ดที่ต้องการพัฒนาพร้อมทั้งวัตถุประสงค์ของโปรแกรมที่ต้องพัฒนาด้วย เพื่อทำให้โปรแกรมมีโครงสร้างที่เป็นระเบียบและมีประสิทธิภาพในการทำงาน
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
Tag ที่น่าสนใจ: oop object-oriented_programming procedural_programming encapsulation inheritance polymorphism programming_paradigm software_development code_structure
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM
Copyright (c) 2013 expert-programming-tutor.com. All rights reserved. | 085-350-7540 | 084-88-00-255 | ntprintf@gmail.com