การเขียนโปรแกรมไม่ใช่แค่การสร้างโค้ดที่ทำงานได้ตามความต้องการเท่านั้น แต่ยังควรให้ความสำคัญกับการออกแบบโครงสร้างซอฟต์แวร์เพื่อให้โค้ดนั้นยืดหยุ่น, สามารถปรับเปลี่ยนได้ง่าย, มีการซ่อมบำรุงน้อย, และมีคุณภาพสูงด้วย ในบทความนี้ เราจะพูดถึงหลักการออกแบบซอฟต์แวร์ (Software Design Principles) ที่เป็นพื้นฐานสำคัญ และข้อดีของการนำมาใช้ในการเขียนโปรแกรมต่างๆ
#### หลักการออกแบบซอฟต์แวร์ที่สำคัญ
1. Single Responsibility Principle (SRP)หลักการนี้กล่าวว่า “คลาสควรมีเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวสำหรับการเปลี่ยนแปลง” หรืออีกนัยหนึ่งคือ คลาสควรมีภาระหน้าที่เพียงอย่างเดียว จึงจะอำนวยความสะดวกในการบำรุงรักษาและป้องกันไม่ให้การเปลี่ยนแปลงที่หนึ่งส่งผลกระทบกับอีกส่วนหนึ่ง
2. Open/Closed Principle (OCP)“ซอฟต์แวร์ควรเปิดให้การขยายตัว แต่ปิดให้การแก้ไข” หลักการนี้ระบุว่า แอพพลิเคชั่นควรออกแบบมาให้เพิ่มเติมฟังก์ชันนัลไลตี้ได้โดยไม่ต้องแก้ไขโค้ดที่มีอยู่เดิม
3. Liskov Substitution Principle (LSP)โดยทั่วไปแล้วการสืบทอดในโอบเจ็กต์ออเรียนเทตเต็ดโมเดล (OOP) ควรทำให้แน่ใจว่าโค้ดที่ใช้งานชิ้นส่วนย่อยสามารถทดแทนชิ้นส่วนหลักได้โดยไม่มีปัญหาในการทำงาน
4. Interface Segregation Principle (ISP)คล้ายคลึงกับ SRP, ISP แนะนำว่า “ไม่ควรบังคับให้ผู้บริโภคของอินเตอร์เฟซต้องพึ่งพาอินเตอร์เฟซที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้”
5. Dependency Inversion Principle (DIP)หลักการนี้พูดถึงระดับสูง (high-level modules) และระดับต่ำ (low-level modules) ของโปรแกรม ระบุว่าเราควร "พึ่งพาการแอบสตร้ากชั่นไม่ใช่การคอนเครท"
#### ประโยชน์ในการนำหลักการเหล่านี้ไปใช้
เมื่อนำหลักการออกแบบซอฟต์แวร์มาใช้เหล่านี้ จะเห็นประโยชน์ต่างๆ ดังนี้:
- ความยืดหยุ่นและการขยายโปรแกรม: สามารถเพิ่มฟังก์ชันใหม่ๆ โดยไม่กระทบต่อโค้ดที่มีอยู่ - ลดข้อผิดพลาด: แยกส่วนความรับผิดชอบทำให้แต่ละส่วนง่ายต่อการทดสอบและกระจายความเสี่ยง - ความง่ายในการบำรุงรักษา: โค้ดที่เขียนตามหลักการเหล่านี้มีลักษณะที่โครงสร้างดีและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น - ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม: หลักการเหล่านี้ช่วยให้การทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นไปอย่างราบรื่นขึ้นเพราะโค้ดที่ออกแบบมาอย่างดีจะเข้าใจได้ง่าย#### ตัวอย่างการใช้งานและโค้ดตัวอย่าง
เรามาดูการนำหลักการไปใช้กับภาษาโปรแกรมไพธอน (Python) กัน:
บางครั้งเราอาจเห็นคลาสที่พยายามจัดการเรื่องการเข้าถึงฐานข้อมูลพร้อมกับการจัดการข้อมูลผู้ใช้งาน แต่หากแยกการเข้าถึงฐานข้อมูลออกจากการจัดการข้อมูลผู้ใช้งาน จะช่วยให้โค้ดมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
class UserDataBase:
def __init__(self, db_connection):
self.db_connection = db_connection
def get_user(self, user_id):
...
class UserManager:
def __init__(self, user_db):
self.user_db = user_db
def update_user_email(self, user_id, new_email):
user = self.user_db.get_user(user_id)
...
ในตัวอย่างนี้ `UserDataBase` จะรับผิดชอบในการดำเนินการเกี่ยวกับฐานข้อมูลในขณะที่ `UserManager` จะจัดการกับข้อมูลผู้ใช้งาน การแยกนี้ช่วยให้ทั้งสองคลาสสามารถพัฒนาและทดสอบแยกกันได้อย่างง่ายดาย
การนำหลักการออกแบบมาใช้ในการเขียนโปรแกรมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถสร้างซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพสูง โดยหลักการเหล่านี้ทำให้โค้ดสามารถปรับปรุง และรักษาง่าย นำมาซึ่งประโยชน์ด้านการบำรุงรักษาและการขยายขอบเขตของซอฟต์แวร์ในอนาคต
การเรียนรู้และฝึกฝนการทำงานตามหลักการออกแบบเหล่านี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มความเชี่ยวชาญและความสามารถในการเขียนโค้ดที่ทั้งมีคุณภาพและยืดหยุ่น ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้คุณตอบสนองต่อความต้องการของโปรเจคได้ดีขึ้น แม้ว่าในบทความนี้จะไม่ได้ชวนคุณไปเรียนรู้ที่ EPT แต่ถ้าคุณมีความสนใจอยากลึกซึ้งเพิ่มเติม การศึกษาในสถานที่ที่มีผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำย่อมเกิดประโยชน์ทั้งสำหรับตัวคุณเองและผลงานของคุณในอนาคตไม่น้อยเลยทีเดียวครับ.
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM