# การใช้งาน Nested If-Else ในภาษา TypeScript อย่างง่ายต่อการเข้าใจ
การเขียนโปรแกรมนั้นเหมือนกับการสร้างแผนที่สำหรับการแก้ไขปัญหา ซึ่งการใช้งานโครงสร้างการตัดสินใจ เช่น if-else, ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากในการเขียนโปรแกรม วันนี้เราจะมาพูดถึงการใช้งาน nested if-else ในภาษา TypeScript ซึ่งเป็นภาษาทางด้านการพัฒนา Web ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันที่มีความปลอดภัยและสามารถรักษาคุณภาพของโค้ดได้
Nested if-else ก็คือการเขียน if-else ซ้อนกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่นักพัฒนาจะต้องใช้เขียนการตัดสินใจที่มีหลายระดับความซับซ้อน หากเปรียบเทียบนั่นก็เหมือนหัวข้อรองที่อยู่ภายใต้หัวข้อหลักในการทำรายงาน ตัวอย่างเช่น:
if (เงื่อนไขหลัก) {
if (เงื่อนไขย่อยระดับที่ 1) {
// บล็อกของโค้ดที่ทำงานเมื่อเงื่อนไขหลักและเงื่อนไขย่อยระดับที่ 1 เป็นจริง
} else {
// บล็อกของโค้ดที่ทำงานเมื่อเงื่อนไขหลักเป็นจริงแต่เงื่อนไขย่อยระดับที่ 1 เป็นเท็จ
}
} else {
// บล็อกของโค้ดที่ทำงานเมื่อเงื่อนไขหลักเป็นเท็จ
}
การใช้งาน nested if-else นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือช่วยให้สามารถจัดการกับเงื่อนไขที่มีความซับซ้อนได้หลากหลาย แต่ข้อเสียคืออาจทำให้โค้ดมีความซับซ้อนและยากต่อการปรับปรุงและรักษาได้โดยง่าย ดังนั้นการใช้วิจารณญาณในการเลือกสถานการณ์ที่เหมาะสมสำหรับการใช้ nested if-else จึงเป็นสิ่งสำคัญ
ตอนนี้ เรามาดูตัวอย่างการใช้ nested if-else ใน TypeScript กัน:
ตัวอย่างที่ 1: ตรวจสอบคะแนนของนักเรียน
function gradeCheck(score: number) {
if (score >= 80) {
console.log("Excellent");
} else {
if (score >= 60) {
console.log("Good");
} else {
if (score >= 40) {
console.log("Fair");
} else {
console.log("Poor");
}
}
}
}
gradeCheck(75); // Output: Good
ในตัวอย่างนี้ `gradeCheck` เป็นฟังก์ชันที่จะประเมินผลคะแนนของนักเรียนแล้วแสดงผลลัพธ์ออกมาในหน้า Console
ตัวอย่างที่ 2: การตรวจสอบสถานะการเข้างาน
function checkAttendance(timeArrived: number, appointment: boolean) {
if (appointment) {
console.log("Proceed to the meeting room.");
} else {
if (timeArrived < 9) {
console.log("Early bird! Grab a coffee.");
} else if (timeArrived === 9) {
console.log("Right on time! Start working.");
} else {
console.log("You are late! Report to HR.");
}
}
}
checkAttendance(8, false); // Output: Early bird! Grab a coffee.
ในตัวอย่างที่ 2 เราตรวจสอบว่าพนักงานมาถึงก่อนเวลาหรือไม่ หรือว่ามีนัดหมายหรือไม่ และให้ผลลัพธ์ที่เหมาะสม
ตัวอย่างที่ 3: ตรวจสอบการผ่านเงื่อนไขของการเลื่อนตำแหน่ง
function checkPromotion(yearsWorked: number, projectsCompleted: number) {
if (yearsWorked > 5) {
if (projectsCompleted > 10) {
console.log("Qualified for promotion!");
} else {
console.log("More projects needed to qualify.");
}
} else {
console.log("More years of experience needed.");
}
}
checkPromotion(6, 12); // Output: Qualified for promotion!
ในตัวอย่างที่ 3 เราตรวจสอบเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการเลื่อนตำแหน่งของพนักงาน
ในโลกของการพัฒนาซอฟต์แวร์ Nested If-Else มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย เช่นในการตรวจสอบฟอร์มข้อมูลในเว็บไซต์, การตัดสินใจทางธุรกิจตามข้อมูลที่ได้รับ, หรือการควบคุมกระบวนการทางเทคนิคในระบบอัตโนมัติ์ต่างๆ
หากคุณอยากเรียนรู้การใช้งานโครงสร้างการตัดสินใจในภาษา TypeScript หรือภาษาโปรแกรมอื่นๆ มากขึ้น โรงเรียน EPT พร้อมแล้วที่จะช่วยคุณเติมเต็มความรู้ และเพิ่มพูนทักษะการเขียนโค้ดแบบมืออาชีพ ที่ EPT คุณจะได้เรียนรู้และทดลองตัวอย่างโค้ดเหล่านี้ด้วยตัวคุณเอง พร้อมคำแนะนำที่จะทำให้คุณมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในหลักการทางการเขียนโปรแกรม
เชิญพบกับการเรียนการสอนที่ตรงใจ และพัฒนาทักษะที่จำเป็นของคุณไปกับ EPT ที่นี่เราไม่เพียงแต่สอนให้คุณเขียนโค้ด แต่เราสอนให้คุณคิดเหมือนโปรแกรมเมอร์ที่ชาญฉลาด!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM