# Interpreter vs Compiler: โปรเซสเซอร์ภาษาประเภทต่างๆ สำหรับภาษาเขียนโปรแกรม
การเขียนโปรแกรมเป็นงานศิลปะที่มีเทคนิคและวิทยาการซับซ้อน ซึ่งสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีนี้คือ "โปรเซสเซอร์ภาษา" หรือที่เรามักจะรู้จักกันในชื่อของ "Interpreter" และ "Compiler" ทั้งสองมีหน้าที่ในการแปลคำสั่งภาษาเขียนโปรแกรม (Source Code) ให้กลายเป็นภาษาที่เครื่องจักรสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามได้
Interpreter คือโปรแกรมที่ทำการแปลคำสั่งของภาษาโปรแกรมหนึ่งๆ เป็นภาษาเครื่องในขณะที่โปรแกรมนั้นกำลังรันอยู่ (Runtime) โดยปกติแล้ว Interpreter จะทำการอ่านโค้ดทีล่ะบรรทัดและทำการประมวลผลทันทีที่มันอ่านคำสั่งเสร็จเรียบร้อย เป็นการทำงานแบบ Step-by-step เหมาะสำหรับการทดสอบโปรแกรมหรือการพัฒนาแบบอินเตอร์แอคทีฟ
ตัวอย่างภาษาที่ใช้ Interpreter คือ Python (ในบางสิ่งแวดล้อม) , Ruby และ JavaScript (ในบางสิ่งแวดล้อม).
ตัวอย่างสั้นๆ:
# Python Interpreter Example
print("Hello, World!")
ประโยชน์ของการใช้ Interpreter คือสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เหมาะกับการเรียนรู้หรือการทำ Prototyping ที่ต้องการ Feedback แบบทันที แต่ข้อเสียคืออาจจะทำงานช้ากว่าเมื่อเทียบกับโปรแกรมที่ถูกคอมไพล์ และเนื่องจากไม่ได้ compile ตัวโปรแกรมก็อาจจะยังมีความผิดพลาดทาง Syntax ซ่อนอยู่ใน code นั้นเอง ต่างกับ ภาษาที่เป็น colpiler และยิ่งภาษาที่ไม่เป็น synamic type การจัดการกับข้อผิดพลาดจะทำได้ง่ายกว่าเพราะ compiler จะช่วยตรวจสอบให้บางส่วน
Compiler ในทางกลับกัน คือโปรแกรมที่ทำการแปลคำสั่งทั้งหมดจากภาษาโปรแกรมเป็นภาษาเครื่องก่อนที่โปรแกรมจะเริ่มรัน (Pre-runtime) โดยโค้ดที่ถูกคอมไพล์เรียบร้อยแล้วจะกลายเป็นไฟล์ที่พร้อมสำหรับการรันโดยตรงบนระบบปฏิบัติการหรือไม่ก็ทำงานผ่านการเรียกใช้งานจากไฟล์ที่ถูกคอมไพล์ (Executable file)
ตัวอย่างภาษาที่ใช้ Compiler คือ C, C++ และ Swift.
ตัวอย่างสั้นๆ:
// C Compiler Example
#include
int main(){
printf("Hello, World!\n");
return 0;
}
การทำงานของ Compiler เป็นการประมวลผลเบื้องหลังทั้งหมดเสร็จสนิทก่อนที่จะเรียกใช้งานโปรแกรม เหมาะสำหรับกระบวนการพัฒนาที่ต้องการ Performance และ Optimization สูงสุด ข้อเสียคือกระบวนการพัฒนาอาจจะยาวนานกว่าเนื่องจากต้องมีการคอมไพล์ซ้ำทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง
ทั้ง Interpreter และ Compiler มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้งานของนักพัฒนาและความต้องการของโปรเจ็กต์ ในโลกของการพัฒนาซอฟต์แวร์มักจะต้องเลือกเครื่องมือที่ตอบโจทย์กับสถานการณ์นั้นๆ
ยกตัวอย่างเช่น หากเรากำลังพัฒนาเว็บแอพลิเคชันที่ต้องการการทำงานแบบ Real-time หรือ Quick Iteration เราอาจเลือกใช้ JavaScript ที่เป็นแบบ Interpreter เพื่อให้สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีโดยไม่ต้องรีสตาร์ท program
ในทางกลับกัน หากเรากำลังสร้างระบบหรือ application ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เราอาจจะเลือกใช้ภาษาที่ต้องผ่านการคอมไพล์อย่าง C หรือ C++ หรือ Golang เพื่อให้ได้โปรแกรมที่รันได้เร็วและมีการใช้งานทรัพยากรที่เหมาะสม
สำหรับคุณผู้ที่สนใจในการเดินทางไปยังโลกของการเขียนโปรแกรม การเรียนรู้และเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง Interpreter และ Compiler นั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะช่วยให้คุณเลือกภาษาเขียนโปรแกรมและเครื่องมือที่เหมาะสมกับเป้าหมายของคุณ
ที่ EPT (Expert-Programming-Tutor) เรามีหลักสูตรที่ครอบคลุมภาษาเขียนโปรแกรมหลายประเภทและสอนแนวคิดเกี่ยวกับโปรเซสเซอร์ภาษาอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้นักเรียนของเราสามารถนำไปใช้ในงานจริงได้อย่างมั่นใจและเป็นมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการพัฒนาซอฟต์แวร์, เว็บแอพลิเคชัน หรือระบบใดๆ อีกทั้งยังมีการสอนอย่างมีวิจารณญาณที่จะทำให้คุณสามารถเลือกใช้เครื่องมือได้เหมาะสมตามความต้องการ
จงเริ่มต้นโลกแห่งการเขียนโปรแกรมด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง และปูพื้นฐานที่แข็งแกร่งไปกับเราที่ EPT วันนี้!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM