ในโลกของการเขียนโปรแกรม หนึ่งในปัญหาพื้นฐานที่พบเจอบ่อยครั้งคือการค้นหาข้อความย่อย(Substring)ภายในข้อความหลัก(String) ไม่ต่างจากการหาเข็มในฟาง เพื่อแก้ปัญหานี้ String Matching Algorithm จึงถือเป็นกระบวนการที่สำคัญมากในการทำให้การค้นหานี้เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
Algorithm พื้นฐานสำหรับการค้นหาข้อความที่กล่าวถึงคือ Brute Force, Rabin-Karp, Knuth-Morris-Pratt (KMP), และ Boyer-Moore แต่ละวิธีมีข้อดี ข้อเสีย และการประยุกต์ใช้ที่ต่างกันออกไป ในที่นี้เราจะนำเสนอถึงข้อดีและข้อเสียของการใช้งานจากวิธี KMP ที่ได้รับความนิยมเพราะความซับซ้อนในการทำงานที่ต่ำ (Low Complexity)
KMP Algorithm ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาการค้นหาข้อความย่อยมีประสิทธิภาพมากกว่า Brute Force โดยมีการใช้ความรู้ก่อนหน้านี้ที่ได้ค้นพบแล้วจากการสแกนข้อความ เพื่อไม่ต้องเริ่มค้นหาใหม่จากจุดเริ่มต้นทุกครั้ง
ตัวอย่าง Code การใช้ KMP Algorithm ใน Java
public class KMPSearch {
void KMPSearch(String pat, String txt) {
int M = pat.length();
int N = txt.length();
// สร้าง lps[] ที่จะถือค่าของทุกอักขระที่นานที่สุด
int lps[] = new int[M];
int j = 0; // index สำหรับ pat[]
// เตรียมวิเคราะห์ lps[]
computeLPSArray(pat, M, lps);
int i = 0; // index สำหรับ txt[]
while (i < N) {
if (pat.charAt(j) == txt.charAt(i)) {
j++;
i++;
}
if (j == M) {
System.out.println("Found pattern at index " + (i - j));
j = lps[j - 1];
} else if (i < N && pat.charAt(j) != txt.charAt(i)) {
if (j != 0)
j = lps[j - 1];
else
i = i + 1;
}
}
}
void computeLPSArray(String pat, int M, int lps[]) {
int len = 0;
int i = 1;
lps[0] = 0; // lps[0] is always 0
// calculate lps[i] for i = 1 to M-1
while (i < M) {
if (pat.charAt(i) == pat.charAt(len)) {
len++;
lps[i] = len;
i++;
} else {
if (len != 0) {
len = lps[len - 1];
} else {
lps[i] = len;
i++;
}
}
}
}
}
String Matching Algorithm หรือ เฉพาะ KMP Algorithm สามารถนำไปใช้ในการค้นหาคำหรือวลีในข้อความยาวๆ เช่น การค้นหา DNA sequence ในฐานข้อมูลชีวภาพ, การค้นหาคำในโปรแกรมแก้ไขข้อความ (Text Editors), หรือแม้กระทั่งโปรแกรมเพื่อตรวจสอบว่ามีคำไม่เหมาะสมอยู่ในข้อความที่ผู้ใช้ป้อนเข้ามาหรือไม่
KMP Algorithm มีความซับซ้อนทางเวลา (Time Complexity) ในการทำงานโดยรวมเป็น O(n + m) ซึ่ง n คือความยาวของข้อความหลักและ m คือความยาวของข้อความย่อยที่ต้องการค้นหา ด้วยความซับซ้อนนี้ทำให้มีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้ Brute Force ที่มีความซับซ้อนเป็น O(n*m) ข้อเสียของมันอยู่ที่การที่ต้องเสียเวลาในการสร้าง lps array ที่สามารถใช้เวลาไปอีกนิดหน่อยก่อนทำการค้นหาจริง แต่ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับเวลาที่จะถูกประหยัดในการค้นหาที่เกิดขึ้นหลายครั้ง
สรุปแล้ว KMP Algorithm ช่วยแก้ปัญหาการค้นหาข้อความได้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่าการใช้วิธีการทั่วไปอย่าง Brute Force ซึ่งนักพัฒนาซอฟต์แวร์ควรที่จะมีความรู้และความสามารถในการใช้งาน KMP Algorithm เพื่อจะได้สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นได้
หากคุณมีความสนใจในการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับ KMP Algorithm หรือ String Matching Algorithm อื่นๆ หรือถ้าคุณอยากพัฒนาฝีมือไปในระดับที่สูงขึ้น ทางเรา Expert-Programming-Tutor (EPT) มีคอร์สประกอบด้วยผู้สอนที่เชี่ยวชาญพร้อมจะแนะนำคุณไปสู่เป้าหมายของคุณในการเป็นมืออาชีพด้านการเขียนโปรแกรมที่มีคุณภาพและแก้ปัญหาด้วยวิธีที่ทันสมัย รอไม่ควรรอช้า! เข้ามาเรียนรู้กับเราที่ EPT เพื่อปูทางสู่อาชีพนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่สดใสกว่าใครๆ!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
Tag ที่น่าสนใจ: string_matching_algorithm kmp_algorithm substring algorithm computer_science programming java complexity_analysis efficient_searching software_development text_editors brute_force rabin-karp knuth-morris-pratt boyer-moore
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM