การใช้งาน Logical operator ในภาษา C++ แบบง่ายๆ พร้อมตัวอย่าง

# การใช้งาน Logical Operator ในภาษา C++ อย่างมีเหตุผล

การเขียนโปรแกรมไม่ใช่เพียงการบอกคอมพิวเตอร์ให้ทำงานตามคำสั่งอย่างต่อเนื่อง แต่ยังครอบคลุมถึงการตัดสินใจที่ต้องใช้เหตุผล หรือ "logic" ในการทำงานอีกด้วย เพื่อให้โปรแกรมที่เขียนสามารถประมวลผลได้ตามสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง ภาษา C++ เป็นหนึ่งในภาษาโปรแกรมมิ่งที่มีองค์ประกอบที่สำคัญในการควบคุมการตัดสินใจ นั่นก็คือ Logical Operators หรือตัวดำเนินการตรรกะ

ในโลกแห่งการเขียนโปรแกรม นักพัฒนาต้องเข้าใจหลักการและประยุกต์ใช้ Logical Operator อย่างถูกวิธีเพื่อพัฒนาโปรแกรมให้มีประสิทธิภาพ เราจะมารู้จักกับ Logical Operator ใน C++ ไปด้วยกัน และเราขอชวนคุณมาศึกษาการใช้ Logical Operators อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นที่ EPT ซึ่งเรามีคอร์สที่ออกแบบมาเพื่อตามหลักสูตรที่ยอดเยี่ยมและตอบโจทย์ในโลกการทำงานจริง

Logical Operators ใน C++ คืออะไร?

Logical Operator คือตัวดำเนินการที่ใช้สำหรับการเชื่อมโยงสองหรือมากกว่าสองเงื่อนไข (conditions) ในการตัดสินใจเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เป็นค่าความจริง (true) หรือความเท็จ (false) ในภาษา C++ มี Logical Operators 3 ตัวด้วยกัน ได้แก่ AND (&&), OR (||), และ NOT (!)

AND (&&)

ตัวดำเนินการ AND ใช้เทียบค่าความจริงของเงื่อนไขทั้งหมดที่เชื่อมด้วย AND ถ้าทุกเงื่อนไขเป็นจริง ผลลัพธ์จะเป็น true ถ้าเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งเป็นเท็จ ผลลัพธ์จะเป็น false

OR (||)

ตัวดำเนินการ OR ตรวจสอบค่าความจริงของเงื่อนไขอย่างน้อยหนึ่งเงื่อนไขในเงื่อนไขที่เชื่อมด้วย OR ถ้าเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งเป็นจริง ผลลัพธ์ก็จะเป็น true ถ้าทุกเงื่อนไขเป็นเท็จ ผลลัพธ์ก็จะเป็น false

NOT (!)

ตัวดำเนินการ NOT เป็นตัวดำเนินการที่เปลี่ยนผลลัพธ์ของเงื่อนไขจาก true เป็น false หรือจาก false เป็น true

ตัวอย่างการใช้ Logical Operators ใน C++

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้งาน Logical Operators พร้อมทั้งอธิบายว่าแต่ละตัวทำงานอย่างไรในโค้ด C++:

ตัวอย่างที่ 1: Logical AND

 #include <iostream>
using namespace std;

int main() {
    int age = 25;
    bool hasDrivingLicense = true;

    if (age >= 18 && hasDrivingLicense) {
        cout << "You are eligible to drive." << endl;
    } else {
        cout << "You are not eligible to drive." << endl;
    }

    return 0;
}

ในตัวอย่างนี้ เงื่อนไขใน if มีสองข้อคือ `age >= 18` และ `hasDrivingLicense` ต้องเป็นจริงทั้งคู่ ผู้ใช้จึงจะมีสิทธิ์ขับรถได้

ตัวอย่างที่ 2: Logical OR

 #include <iostream>
using namespace std;

int main() {
    bool hasJobOffer = false;
    bool hasSufficientSavings = true;

    if (hasJobOffer || hasSufficientSavings) {
        cout << "You are ready to relocate." << endl;
    } else {
        cout << "You are not ready to relocate." << endl;
    }

    return 0;
}

ในตัวอย่างที่ 2 มีเงื่อนไขสองข้อเชื่อมด้วย OR คือ `hasJobOffer` หรือ `hasSufficientSavings` ถ้าอย่างน้อยหนึ่งเงื่อนไขเป็นจริง ผู้ใช้ก็พร้อมที่จะย้ายที่อยู่

ตัวอย่างที่ 3: Logical NOT

 #include <iostream>
using namespace std;

int main() {
    bool isRaining = false;

    if (!isRaining) {
        cout << "Let's go for a walk." << endl;
    } else {
        cout << "We need to stay indoors." << endl;
    }

    return 0;
}

ในตัวอย่างที่ 3 ตัวดำเนินการ NOT (!) นำหน้าตัวแปร `isRaining` เพื่อตรวจสอบว่าไม่ใช่วันฝนตก ถ้า `isRaining` เป็น false นั่นหมายความว่าเงื่อนไขใน if จะเป็น true และเราสามารถออกไปเดินเล่นได้

Usecase ในโลกจริง

ตัวดำเนินการตรรกะใช้กันอย่างแพร่หลายในโปรแกรมต่างๆ เช่น:

การเข้าใจหลักการทำงานของ Logical Operator ไม่เพียงช่วยให้นักพัฒนาเขียนโค้ดที่มีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยกระตุ้นให้เขาเข้าใจการทำงานและโครงสร้างของโปรแกรมอย่างมีเหตุผล ด้วยคุณภาพของการเรียนการสอนที่ EPT เรามั่นใจว่านักเรียนทุกคนจะเป็นนักโปรแกรมมิ่งที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ในการใช้งาน Logical Operators เพื่อตอบโจทย์ทั้งในงานวิจัยและโลกแห่งการทำงานจริง!

หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง