# เทคนิคการเขียนโค้ดเพื่อการจัดการข้อมูลในภาษา Node.js โดยใช้ Separate Chaining Hashing
การจัดการข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญของโปรแกรมมิ่งทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันหรือระบบฐานข้อมูล การที่นักพัฒนามีความเข้าใจในโครงสร้างข้อมูลและอัลกอริธึมต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์ต่อการเขียนโค้ดของพวกเขานั้น จะช่วยให้โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมามีประสิทธิภาพสูง วันนี้เราจะมาดูการใช้งาน Hashing techinuqe ที่เรียกว่า ‘Separate Chaining’ ในการจัดการข้อมูลด้วยภาษา Node.js ซึ่งก็คือการจัดโครงสร้างข้อมูลเพื่อปรับปรุงความรวดเร็วในการค้นหา (lookup time) พร้อมกับการรักษาข้อจำกัดเกี่ยวกับการชนกันของข้อมูล (collision resolution mechanism).
Separate Chaining เป็นเทคนิคหนึ่งในการแก้ปัญหาการชนกันของข้อมูล (collisions) ใน hash table โดยพื้นฐานแล้ว แต่ละ slot หรือ bucket ใน hash table ไม่ได้เก็บเพียงหนึ่งคีย์เท่านั้น แต่สามารถเก็บได้หลายคีย์ผ่านการใช้ลิสต์เชื่อม (linked list) หรือโครงสร้างข้อมูลอื่นที่เหมาะสม เวลาที่มีการเกิด collision (ซึ่งคือสองคีย์ที่แตกต่างกันได้ hash ไปยัง bucket เดียวกัน) เราจะใส่คีย์เหล่านั้นในลิสต์เชื่อมที่เชื่อมต่อกับ bucket นั้นๆ
ข้อดี:
- การจัดการการชนกัน: Separate Chaining มอบวิธีที่ค่อนข้างง่ายในการจัดการการชนกันเมื่อเทียบกับเทคนิคอื่น ๆ โดยการใช้ลิสต์เชื่อมหรือวิธีการเก็บข้อมูลอื่น. - ความยืดหยุ่นในขนาดข้อมูล: สามารถเพิ่มข้อมูลได้โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มขนาดของ hash table เอง ซึ่งทำให้ไม่ต้องทำเรียกแฮชทั้งหมด (re-hashing) บ่อยๆ.ข้อเสีย:
- การใช้หน่วยความจำเพิ่มเติม: การใช้ลิสต์เชื่อมหมายความว่าต้องใช้หน่วยความจำเพิ่มเติมสำหรับ pointers หรือ references ที่เชื่อมโยงระหว่าง elements. - อาจลดประสิทธิภาพได้ถ้ามีการจัดการข้อมูลไม่ดี: หากมีการใช้งานลิสต์เชื่อมที่มีขนาดใหญ่, การค้นหาข้อมูลอาจช้าลงเพราะต้องทำการทราวร์สตัวเชื่อมต่าง ๆ.
ด้านล่างนี้คือ code ในภาษา Node.js ที่แสดงการใช้งาน Separate Chaining Hash table สำหรับการ insert, update, find และ delete ข้อมูล:
class HashTable {
constructor(size) {
this.buckets = new Array(size);
this.size = size;
}
hash(key) {
return key.toString().length % this.size;
}
set(key, value) {
const index = this.hash(key);
const bucket = this.buckets[index] || [];
for (let i = 0; i < bucket.length; i++) {
if (bucket[i].key === key) {
bucket[i].value = value; // Update existing key
return;
}
}
bucket.push({key, value}); // Insert new key
this.buckets[index] = bucket;
}
get(key) {
const index = this.hash(key);
const bucket = this.buckets[index] || [];
for (const element of bucket) {
if (element.key === key) {
return element.value; // Find the key
}
}
return null;
}
remove(key) {
const index = this.hash(key);
const bucket = this.buckets[index] || [];
for (let i = 0; i < bucket.length; i++) {
if (bucket[i].key === key) {
bucket.splice(i, 1); // Delete the key
return true;
}
}
return false;
}
}
การโปรแกรมแฮชเทเบิลด้วย Separate Chaining นี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพื่อพัฒนาด้านการจัดการข้อมูลแบบลึกซึ้งมีคาแรคเตอร์ เราที่ EPT มีหลักสูตรที่จะช่วยให้คุณเกินขีดจำกัดของการเขียนโค้ดปกติ มาร่วมสำรวจโลกของการเขียนโค้ดที่มีประสิทธิภาพและถูกวิธีกับเรา แล้วคุณจะพบว่าการเขียนโค้ดไม่เพียงแค่จะทำให้โปรแกรมทำงาน แต่ยังทำให้โปรแกรมของคุณมีชีวิตชีวาและปรับตัวได้ดีตามสถาณการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพวกเราที่ EPT แล้วคุณจะเห็นว่าทุกบรรทัดของโค้ดคือก้าวแรกสู่อนาคตที่สดใสของคุณ!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
Tag ที่น่าสนใจ: node.js separate_chaining hashing insert update find delete data_management programming javascript
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM