หัวข้อ: เส้นทางแห่งการเขียนโปรแกรม: รูปแบบการเขียนโปรแกรมหลักๆ ที่ควรรู้
การเขียนโปรแกรมไม่ได้มีเพียงหนึ่งเส้นทางหรือแนวคิดเดียว แต่มีหลายรูปแบบที่แสดงถึงวิธีการแก้ปัญหาและการออกแบบระบบแอปพลิเคชันหรือซอฟต์แวร์ต่างๆ ในวันนี้เราจะพาไปรู้จักกับรูปแบบการเขียนโปรแกรมหลักๆ ที่มีให้เห็นในวงการไอที ไม่ว่าจะเป็น Object-oriented, Functional, Procedural และ Declarative programming พร้อมด้วยตัวอย่างการใช้งานและรหัสตัวอย่างที่จะช่วยให้คุณเห็นภาพการใช้งานได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในท้ายบทความนี้เรายังจะพูดถึงการศึกษาการเขียนโปรแกรมที่ EPT ที่จะเป็นแนวทางให้กับผู้ที่สนใจพัฒนาทักษะในด้านนี้
1. การเขียนโปรแกรมแบบ Object-oriented (OOP)
Object-oriented programming หรือ OOP คือ รูปแบบการเขียนโปรแกรมที่มุ่งเน้นการแบ่งโครงสร้างโปรแกรมออกเป็น "วัตถุ" (Objects) ที่ประกอบด้วยข้อมูล (properties) และขั้นตอนการทำงาน (methods) แนวคิดหลักของ OOP คือ Encapsulation, Inheritance และ Polymorphism ที่ช่วยให้โค้ดของเราสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ (Reusability) และปรับเปลี่ยนได้ง่าย (Modifiability) เพิ่มความยืดหยุ่นในการออกแบบและพัฒนาซอฟต์แวร์
ตัวอย่างรหัสภาษา Java:
class Animal {
void sound() {
System.out.println("This animal makes a sound");
}
}
class Pig extends Animal {
void sound() {
System.out.println("The pig says: wee wee");
}
}
class Main {
public static void main(String args[]) {
Animal myAnimal = new Animal();
Animal myPig = new Pig();
myAnimal.sound();
myPig.sound();
}
}
ในตัวอย่างข้างต้น, เราเห็นการสร้างคลาส Animal และ Pig ซึ่ง Pig สืบทอดคุณสมบัติจาก Animal แสดงให้เห็นถึงการใช้ Inheritance ใน OOP
2. การเขียนโปรแกรมแบบ Functional (FP)
Functional programming หรือ FP คือ รูปแบบการเขียนโปรแกรมที่เน้นการใช้ฟังก์ชันเป็นหลัก และมีการหลีกเลี่ยงการใช้การเปลี่ยนแปลงสถานะภายนอก (side-effects) ลักษณะเด่นของ FP คือการใช้ Pure functions และ Immutable data โดย FP จะเน้นการทำงานคำนวณคล้ายกับคณิตศาสตร์มากกว่าการเปลี่ยนแปลงสถานะข้อมูล
ตัวอย่างรหัสภาษา JavaScript:
const add = (x, y) => x + y;
const result = add(2, 3);
console.log(result); // Output: 5
ในตัวอย่างนี้ add คือฟังก์ชันที่รับพารามิเตอร์สองตัวและคืนค่าผลบวกของสองค่านั้น ที่สำคัญคือไม่มีการเปลี่ยนแปลงสถานะนอกฟังก์ชัน
3. การเขียนโปรแกรมแบบ Procedural
Procedural programming เป็นรูปแบบการเขียนโปรแกรมที่เน้นการแบ่งโปรแกรมเป็นฟังก์ชันหรือขั้นตอน (procedures) ที่ทำงานและมีการเข้าถึงข้อมูลร่วมกันได้ ซึ่งทำให้โปรแกรมมีโครงสร้างชัดเจนและสามารถติดตามการทำงานได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างรหัสภาษา C:
#include
void printMessage() {
printf("Hello, World!\n");
}
int main() {
printMessage(); // Call the function
return 0;
}
ในรหัสนี้จะเห็นว่าการประกาศฟังก์ชัน `printMessage` และการเรียกใช้ฟังก์ชันใน `main`, ซึ่งเป็นหลักการของ Procedural programming
4. การเขียนโปรแกรมแบบ Declarative
Declarative programming เป็นรูปแบบการเขียนโปรแกรมที่เน้นการบอก "อะไร" ที่ต้องการทำมากกว่าการบอก "วิธีการ" ทำ (เช่นใน Imperative programming) หนึ่งในภาษาที่ใช้รูปแบบนี้คือ SQL ที่ใช้บอกคำสั่งในการค้นหาหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลในฐานข้อมูล
ตัวอย่างรหัส SQL:
SELECT * FROM customers WHERE country = 'Germany';
รหัสนี้แสดงการ 'ขอ' ข้อมูลลูกค้าจากประเทศเยอรมันทั้งหมดจากตาราง ‘customers’ โดยไม่ต้องบอกถึงกระบวนการทำงานภายในว่าจะค้นหาข้อมูลได้อย่างไร
มากกว่าแค่เรียนรู้แนวคิดการเขียนโปรแกรมที่แตกต่างกัน, การลงมือปฏิบัติเป็นสิ่งสำคัญ ที่ EPT เรามีหลักสูตรการเรียนรู้ที่จะนำพาคุณสัมผัสประสบการณ์จริงของการเขียนโปรแกรมผ่านการทำโปรเจกต์และแบบฝึกหัดที่หลากหลาย เราไม่เพียงแค่สอนความรู้ แต่เราส่งเสริมให้นักเรียนมีการวิเคราะห์และคิดอย่างมีวิจารณญาณ เพื่อเป็นนักพัฒนาที่มีคุณภาพ ถ้าคุณพร้อมแล้วที่จะออกเดินทางเข้าสู่โลกของการเขียนโปรแกรม มาเริ่มต้นที่ EPT กันเถอะ!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM