คุณสมบัติของ API ที่เป็น Idempotent คืออะไร และสำคัญอย่างไรในการเขียนโปรแกรม
การพัฒนาโปรแกรมในยุคสมัยใหม่นั้นมีหลายองค์ประกอบที่คอยช่วยให้การสื่อสารระหว่างระบบหนึ่งไปยังอีกระบบหนึ่งเป็นไปอย่างไร้อุปสรรค หนึ่งในฟังก์ชันสำคัญที่นักพัฒนาทั้งหลายคุ้นเคยก็คือการใช้งาน API หรือ Application Programming Interface ซึ่งทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโปรแกรมหนึ่งกับอีกโปรแกรมหนึ่ง เพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลได้สะดวกยิ่งขึ้น ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงคุณสมบัติที่สำคัญของ API ที่ชื่อว่า 'Idempotent' ซึ่งเป็นแนวคิดที่ควรทราบในการพัฒนา API, โดยเฉพาะในบริบทของ RESTful API
คำว่า ‘Idempotent’ ในบริบทของ API หมายถึงการออกแบบ API ให้มีคุณสมบัติที่ว่า หากมีการส่งคำขอเดียวกันมาหลายครั้ง ผลลัพธ์ที่ได้จะต้องคงเสมอ ไม่ว่าจะทำการเรียกใช้งาน API นั้นๆ กี่ครั้งก็ตาม สำหรับการเรียกใช้ที่มีผลลัพธ์เหมือนเก่านี้ มักเกี่ยวข้องกับคำสั่งที่ไม่ควรมีผลต่อสถานะของระบบหากมีการเรียกซ้ำ (เช่น GET, PUT, DELETE ใน RESTful API)
การออกแบบ API ให้มีคุณสมบัติ idempotent นั้นสำคัญมากสำหรับความน่าเชื่อถือและความแข็งแกร่งของระบบ เพราะสามารถรับมือกับปัญหาต่างๆ เช่นการเชื่อมต่อที่ไม่เสถียร หรือคำขอที่สูญหายได้ หากมีการเรียกใช้ API ซ้ำๆ โดยสั่งการที่ไม่จำเป็น จะไม่มีผลกระทบเพิ่มเติมต่อระบบ เพราะผลลัพธ์จะเหมือนกันไม่ว่าจะเรียกกี่ครั้งก็ตาม เช่นการปรับปรุงข้อมูลผู้ใช้งาน เมื่อส่งคำสั่ง PUT ไปเพื่อปรับปรุงข้อมูล คุณสามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลนั้นจะถูกปรับปรุงเพียงครั้งเดียว แม้มีการส่งคำสั่งซ้ำๆ
ใน RESTful API, คำขอที่สั่งเปลี่ยนแปลงข้อมูล (PUT, DELETE) และคำขอที่ไม่เปลี่ยนแปลงข้อมูล (GET) มักจะต้องออกแบบให้เป็น idempotent เพื่อให้ระบบมีความเสถียรและน่าเชื่อถือขึ้น ตัวอย่างเช่น:
# ตัวอย่างการใช้งาน RESTful API ที่เป็น Idempotent ด้วย Python และ Flask
from flask import Flask, jsonify, request
app = Flask(__name__)
users = {
1: {'name': 'John Doe', 'age': 30},
2: {'name': 'Jane Doe', 'age': 25}
}
@app.route('/users/', methods=['GET'])
def get_user(user_id):
return jsonify(users.get(user_id, 'Not found')), 200
@app.route('/users/', methods=['PUT'])
def update_user(user_id):
# ตรวจสอบว่า user_id นั้นมีอยู่จริงเท่านั้น
if user_id in users:
data = request.get_json()
users[user_id].update(data)
return jsonify(users[user_id]), 200
else:
return jsonify('Not found'), 404
# สมมติในฐานข้อมูลมี user_id = 1 อยู่แล้ว
# PUT request ต่อไปนี้เมื่อส่งหลายครั้ง จะให้ผลลัพธ์เดียวกัน ไม่ว่าจะมีการทำกี่ครั้ง
# ร้องขอ: PUT /users/1 พร้อมข้อมูล JSON เช่น {"age": 35}
# ผลลัพธ์: ข้อมูลของ John Doe จะถูกปรับปรุงอายุเป็น 35 ปี
if __name__ == '__main__':
app.run(debug=True)
จากตัวอย่างด้านบน สามารถเห็นได้ว่าเมื่อมีการส่งคำสั่ง PUT ไปเปลี่ยนข้อมูลผู้ใช้ (user) นั้น ไม่ว่าจะส่งไปกี่ครั้งผลลัพธ์ก็คืออายุของ John Doe ถูกปรับเป็น 35 ปี ซึ่งสอดคล้องกับคุณสมบัติของ Idempotent
จบการอภิปรายในครั้งนี้ นักอ่านทุกท่านคงได้รับความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของ API ที่เป็น Idempotent และเข้าใจถึงความสำคัญของการออกแบบ API ให้มีคุณสมบัตินี้ หากคุณต้องการพัฒนาทักษะการเขียนโค้ดของคุณในการสร้าง API ที่มีคุณภาพ อย่าลืมว่าที่ Expert-Programming-Tutor (EPT) ของเรามีหลักสูตรการเรียนรู้การเขียนโปรแกรมที่ครบครัน พร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำเพื่อให้คุณพัฒนาไปอีกขั้นในการเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์มืออาชีพ สนใจสามารถติดต่อเราได้ที่ EPT และมาร่วมเรียนรู้ไปด้วยกัน!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM