ในโลกไอทีที่ข้อมูลมีความสำคัญแบบไม่มีที่สิ้นสุด การจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างแอปพลิเคชันที่ดี วันนี้เราจะมาพูดถึงการใช้ Linear Probing Hashing ใน Go (หรือ Golang) ซึ่งเป็นภาษาโปรแกรมมิ่งที่เน้นความเรียบง่าย และกำลังได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
Linear Probing คือ เทคนิกหนึ่งในการแก้ไขการชนกันของข้อมูล (collision) ที่เกิดขึ้นใน hash table โดยเมื่อมีการชนของข้อมูล (คือมีสองค่าที่ต่างกัน แต่ทำให้ได้ hash เดียวกัน) เราจะจัดเก็บข้อมูลตัวที่ชนกันใน Index ต่อไปที่ว่างอยู่
ข้อดี
- การจัดการข้อมูลง่าย เพราะโครงสร้างเรียบง่ายในการทำความเข้าใจ
- เพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา และเข้าถึงข้อมูลใน hash table เนื่องจากหลีกเลี่ยงการกำหนดลิงก์หลายๆ ชั้น
- ยืดหยุ่นในการโต้ตอบกับ hash table ที่มี elements แน่นหรือเต็ม (high load factor)
ข้อเสีย
- ปัญหาการ clustering ซึ่งเป็นการก่อตัวของกลุ่มข้อมูลที่ชนกัน ทำให้การค้นหาช้าลง
- ใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมากขึ้น เนื่องจากต้องหาที่ว่างต่อเนื่องนับจากจุดที่ชนกัน
เราจะสำรวจการใช้งาน Linear Probing Hashing ใน Golang ผ่านการ insert, insertAtFront, find, และ delete.
Insert
การเพิ่มข้อมูลลงใน hash table เป็นการนำข้อมูลมาผ่านฟังก์ชัน hash แล้วทำการวนหา index ถัดไปที่ว่างเพื่อจัดเก็บข้อมูล
type HashTable struct {
array []string
size int
}
func (h *HashTable) Insert(key string) {
index := hashFunction(key, h.size)
for h.array[index] != "" {
index = (index + 1) % h.size
}
h.array[index] = key
}
InsertAtFront
หากเราต้องการจัดเก็บตัวแปรในตำแหน่งที่ว่างแรกที่เจอ การใส่ข้อมูลด้านหน้า (front) จะมีการทำงานแบบเดียวกันกับ insert แต่จะมี loop การค้นหาที่ต่างออกไป
Find
การหาข้อมูลใน hash table คือ การนำข้อมูลที่ต้องการค้นหาหาจากฟังก์ชัน hash และทำการเดินผ่าน array จนถึงข้อมูลที่ต้องการหรือจนเจอช่องที่ว่างเพื่อบ่งบอกว่าไม่พบข้อมูล
func (h *HashTable) Find(key string) bool {
index := hashFunction(key, h.size)
for h.array[index] != "" {
if h.array[index] == key {
return true
}
index = (index + 1) % h.size
}
return false
}
Delete
การลบข้อมูลใน hash table คือการเจอข้อมูลที่ต้องการลบ แล้วทำการลบข้อมูลออก ซึ่งในบางกรณีอาจจำเป็นต้องทำ rehash ให้กับข้อมูลที่อยู่หลังข้อมูลที่ถูกลบออกไปเพื่อป้องกันการขาดช่องข้อมูลในตำแหน่งที่ถูกลบไป
func (h *HashTable) Delete(key string) {
index := hashFunction(key, h.size)
for h.array[index] != "" {
if h.array[index] == key {
h.array[index] = ""
return // Optional: perform rehashing here
}
index = (index + 1) % h.size
}
}
การเรียนรู้เทคนิคการเขียนโค้ดในการจัดการข้อมูลแบบไดนามิคไม่ได้จำกัดอยู่แค่ทฤษฎีหรือตัวอย่างโค้ดข้างต้นเท่านั้น ที่ Expert-Programming-Tutor (EPT) เราพร้อมนำเสนอคอร์สเรียนด้านโปรแกรมมิ่งที่จะช่วยให้คุณเข้าใจลึกซึ้งในหลายๆ องค์ประกอบของการเขียนโค้ด เรามีทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้ความรู้ในทุกๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดพื้นฐานหรือปัญหาเฉพาะทาง เพื่อพัฒนาทักษะและความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างข้อมูล และการออกแบบอัลกอริทึมที่รับมือกับทุกสถานการณ์ได้
ฝากการศึกษาของคุณไว้กับ EPT แล้วคุณจะพบว่าการเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เก่งทั้งทางทฤษฎีและในทางปฏิบัตินั้นไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM