ในยุคที่โลกของการพัฒนาแอปพลิเคชันก้าวไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งในการออกแบบที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ MVC (Model-View-Controller) นั่นก็คือ MVVM (Model-View-ViewModel) ที่ถูกนิยมใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชั่นต่างๆ เพื่อช่วยให้โค้ดสามารถจัดการได้ง่ายขึ้นและมีความยืดหยุ่นสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการพัฒนาแอปพลิเคชันยุคใหม่ที่ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มาทำความรู้จักกับ MVVM กันว่าจริง ๆ แล้วคืออะไร และมันมีประโยชน์อย่างไร
MVVM ย่อมาจาก Model-View-ViewModel ซึ่งเป็นแพทเทิร์นหนึ่งในการออกแบบโครงสร้างของแอปพลิเคชัน โดยจะแบ่งออกเป็นสามส่วนหลัก ได้แก่:
1. Model: หมายถึงส่วนที่จัดการเกี่ยวกับข้อมูล โดยที่มันเป็นตัวแทนของโดเมนสเปซ หรือ โครงสร้างข้อมูลที่แอปพลิเคชันจัดการ รวมไปถึงการติดต่อกับส่วนที่เกี่ยวข้องกับฐานข้อมูล หรือการบริการทางเครือข่าย 2. View: เป็นส่วนที่แสดงผลต่อผู้ใช้งาน ทำหน้าที่ประมาณเดียวกับใน MVC จะแสดงองค์ประกอบต่างๆ ที่ผู้ใช้สามารถเห็นหรือโต้ตอบได้ 3. ViewModel: เป็นส่วนที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่าง View และ Model โดยมีหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเชื่อมโยงข้อมูลจาก Model ไปยัง View การทำงานของ ViewModel จะไม่มีการรับรู้ข้อมูลที่แสดงผลที่ View เพื่อให้ View สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องขึ้นกับลอจิกในส่วนของการจัดการข้อมูลนั้นๆ
1. การแยกส่วนงาน
MVVM ช่วยให้การพัฒนาด้านต่างๆ ทำได้อย่างชัดเจน เนื่องจากแยกส่วนของโค้ดระหว่างการเข้าถึงข้อมูล (Model), การแสดงผล (View), และการจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ UI (ViewModel) ออกจากกันอย่างชัดเจน
2. ความยืดหยุ่นในการพัฒนา
ด้วยการแยกส่วนการทำงาน, ผู้พัฒนาสามารถปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมเฉพาะส่วนที่จำเป็นได้โดยไม่กระทบกับส่วนอื่นๆ ของระบบ
3. การจัดการสถานะ UI
ViewModel ช่วยจัดการกับสถานะของ UI ได้อย่างง่ายดาย ทำให้ View สามารถเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ได้ตามการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลหรือสถานะඋ
4. การทำ Unit Testing
โครงสร้างที่แยกกันช่วยให้ง่ายต่อการจัดการทดสอบโค้ด (Unit Test) ในส่วนงานต่างๆ โดยไม่ต้องพึ่งพา UI หรือแหล่งข้อมูลของแอปพลิเคชั่น
นี่คือตัวอย่างโค้ดภาษา C# ในการใช้งาน MVVM สำหรับแอปพลิเคชัน WPF (Windows Presentation Foundation):
// Model
public class User
{
public string Name { get; set; }
public string Email { get; set; }
}
// ViewModel
public class UserViewModel : INotifyPropertyChanged
{
private User _user;
public string Name
{
get { return _user.Name; }
set
{
if (_user.Name != value)
{
_user.Name = value;
OnPropertyChanged(nameof(Name));
}
}
}
public string Email
{
get { return _user.Email; }
set
{
if (_user.Email != value)
{
_user.Email = value;
OnPropertyChanged(nameof(Email));
}
}
}
public event PropertyChangedEventHandler PropertyChanged;
protected virtual void OnPropertyChanged(string propertyName)
{
PropertyChanged?.Invoke(this, new PropertyChangedEventArgs(propertyName));
}
}
ในโค้ดข้างต้น, `User` เป็น Model ที่มีสอง Properties คือ Name และ Email, `UserViewModel` เป็น ViewModel ที่มีการพ่วงเหตุการณ์ `PropertyChangedEventHandler` เพื่อแจ้งข้อมูลถึง View ว่ามีข้อมูลเปลี่ยนแปลงให้ปรับปรุง UI ตามข้อมูลที่เปลี่ยนแปลง
MVVM นับเป็นอีกหนึ่งแพทเทิร์นที่สำคัญในการพัฒนาแอปพลิเคชันยุคใหม่ ที่ต้องการความยืดหยุ่นและการผูกข้อมูลแบบไดนามิก เหมาะกับการพัฒนาระบบที่มีความซับซ้อนและต้องการการปรับเปลี่ยนตามเวลาได้อย่างง่ายดาย การเรียนรู้และฝึกปฏิบัติใช้ MVVM จึงเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับนักพัฒนาแอปพลิเคชันในยุคปัจจุบัน
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM