# ความสำคัญของ Polymorphism ในโลก OOP พร้อมตัวอย่างจาก TypeScript
การเขียนโปรแกรมนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของการเพิ่มฟีเจอร์หรือการแก้บั๊กที่ปรากฏขึ้น แต่ยังครอบคลุมถึงการออกแบบโค้ดที่มีคุณภาพด้วย หนึ่งในหลักสูตรที่เรียนได้ที่ Expert-Programming-Tutor (EPT) คือ หลักการ Object-Oriented Programming (OOP) ที่สำคัญภายในหมวดหมู่นั้นจะมี Polymorphism อยู่ด้วย ซึ่งเป็นคำที่อาจดูแปลกตาแต่มีบทบาทที่ไม่แปลกในเวทีการพัฒนาซอฟต์แวร์ เราจะแนะนำให้คุณรู้จักกับความสำคัญของ Polymorphism ผ่านภาษา TypeScript ซึ่งเป็นภาษาที่ได้รับความนิยมในการพัฒนาแอปพลิเคชันสมัยใหม่
Polymorphism ในโลก OOP คือ ความสามารถของโค้ดที่สามารถมีหลายรูปแบบ (many forms) จากการใช้งานวิธีการ (methods) หรือคุณสมบัติ (properties) ที่มีชื่อเดียวกัน แต่สามารถทำงานได้ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับ context หรือ object ที่เราใช้งาน มันช่วยให้เราสามารถนำ interface มาใช้เพื่อแสดงให้เห็นว่า object ต่างๆ สามารถทำอะไรได้บ้าง โดยไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะทำอย่างไร
ภาษา TypeScript ซึ่งเป็นภาษาที่มีระบบ type ที่แข็งแกร่ง สนับสนุนคุณสมบัติของ OOP อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึง Polymorphism เช่นกัน ด้วยการใช้ concept นี้ การจัดการกับโค้ดซึ่งอาจรับ multiple types กลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น และยังช่วยให้โค้ดของเรามีความยืดหยุ่นและเป็น modular มากขึ้น
ตัวอย่าง Polymorphism ใน TypeScript
#### ตัวอย่างที่ 1: Simple Inheritance
class Animal {
speak(): string {
return 'Animal makes a sound';
}
}
class Dog extends Animal {
speak(): string {
return 'Dog barks';
}
}
class Cat extends Animal {
speak(): string {
return 'Cat meows';
}
}
function letAnimalSpeak(animal: Animal) {
console.log(animal.speak());
}
let dog = new Dog();
let cat = new Cat();
letAnimalSpeak(dog); // Output: Dog barks
letAnimalSpeak(cat); // Output: Cat meows
#### ตัวอย่างที่ 2: Interface Polymorphism
interface Shape {
draw(): string;
}
class Circle implements Shape {
draw(): string {
return 'Drawing Circle';
}
}
class Square implements Shape {
draw(): string {
return 'Drawing Square';
}
}
let shapes: Shape[] = [new Circle(), new Square()];
shapes.forEach(shape => console.log(shape.draw()));
// Output:
// Drawing Circle
// Drawing Square
#### ตัวอย่างที่ 3: Use of 'instanceof' to differentiate instances
class VersionA {
operationA(): string {
return 'Operation in Version A';
}
}
class VersionB {
operationB(): string {
return 'Operation in Version B';
}
}
function doOperation(instance: VersionA | VersionB) {
if (instance instanceof VersionA) {
console.log(instance.operationA());
} else if (instance instanceof VersionB) {
console.log(instance.operationB());
}
}
doOperation(new VersionA()); // Output: Operation in Version A
doOperation(new VersionB()); // Output: Operation in Version B
คุณสมบัติของ Polymorphism นั้นมีความสำคัญในการออกแบบระบบซอฟต์แวร์ เพื่อที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงการทำงานโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงโค้ดที่มีอยู่ ด้วย polymorphism เราสามารถออกแบบ class ที่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ตามสถานการณ์ที่เจอ ซึ่งนับเป็นหนทางในการลดความซับซ้อนของโค้ด และเพิ่มความสามารถในการกลับไปใช้ซ้ำ (reusability)
Usecase: ระบบชำระเงิน
ในระบบการชำระเงินออนไลน์ คุณอาจมีรูปแบบการชำระเงินที่หลากหลาย เช่น บัตรเครดิต, บัตรเดบิต, หรือการโอนเงินผ่านธนาคาร แทนที่จะเขียน class สำหรับแต่ละวิธีการชำระที่แตกต่าง คุณจะใช้ polymorphism เพื่อสร้าง interface หรือ abstract class ที่กำหนดวิธีการที่พวกเขาจะต้อง “ชำระเงิน” และให้แต่ละ class ที่สืบทอดวิธีการของมันมีการเขียนคำสั่งที่เจาะจงสำหรับการชำระเงินของตัวเอง
ประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้ Polymorphism ก็คือความสะดวกในการขยายฟังก์ชันสำหรับวิธีการชำระเงินใหม่ๆ โดยไม่ต้องแก้ไขคือนอนามัยที่มีอยู่ เพิ่มความแข็งแรงของโค้ด และความสามารถในการทดสอบ นั่นหมายความว่าเราสามารถเสนอประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ใช้งานได้
โอกาสที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจกับ Polymorphism และหลักการ OOP อื่นๆ อย่างลึกซึ้งมีคาดคั้นที่ Expert-Programming-Tutor ด้วยหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อให้นักพัฒนามีชั้นความสามารถในการพัฒนาแอปพลิเคชันอย่างมืออาชีพ การเข้าใจในโครงสร้างพื้นฐานของการเขียนโปรแกรมจะทำให้คุณพร้อมที่จะพัฒนาโปรเจกต์ที่ท้าทายมากขึ้นและรับมือกับปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างมั่นใจ หากคุณต้องการปูพื้นฐานด้วยวัตุดิบของความสำเร็จ อย่าลืมร่วมสนุกและเรียนรู้ไปกับเราที่ EPT ที่รอให้ความรู้และพัฒนาทักษะการเขียนโค้ดเพื่ออนาคตของคุณ!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM