Polymorphism หรือในภาษาไทยเรียกว่า "การกำหนดรูปหลายรูปแบบ" เป็นหนึ่งในแนวคิดหลักของการเขียนโปรแกรมแบบวัตถุนำ (Object-Oriented Programming - OOP) นอกเหนือจาก Encapsulation, Inheritance และ Abstraction. Polymorphism เป็นการสื่อสารที่ช่วยให้วัตถุคนละประเภทนั้นสามารถถูกใช้งานผ่าน interface เดียวกันได้ มันให้ความสามารถให้กับโปรแกรมเมอร์ในการเขียนโค้ดที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับใช้ได้กับหลากหลายสถานการณ์.
Polymorphism มาจากคำในภาษากรีกที่แปลว่า 'poly' หมายถึง "หลาย" และ 'morphism' หมายถึง "รูปร่าง" เมื่อนำมารวมกันคือการมีหลายรูปร่าง ในทางโปรแกรมมิ่งคือความสามารถของฟังก์ชัน, วัตถุหรือตัวแปรในการรับรูปร่างหรือแสดงพฤติกรรมต่างๆได้หลายแบบ.
Polymorphism ทำให้โค้ดของเรามีความสะดวกในการจัดการและสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ เปรียบเสมือนการทำงานที่มี "หน้าตา" ได้หลายแบบแต่ใช้หลักการเดียวกันในการแก้ปัญหา. คุณลักษณะนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดความซ้ำซ้อนของโค้ดเท่านั้น แต่ยังอำนวยความสะดวกในการหาสาเหตุของปัญหาและจัดการกับข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นอีกด้วย.
เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เราจะมาพูดถึงตัวอย่างในภาษา Java กัน:
สมมติว่าเรามี class `Animal` ที่มี method `sound()` เพื่อให้ออกเสียงของแต่ละสัตว์.
class Animal {
void sound() {
System.out.println("The animal makes a sound");
}
}
class Pig extends Animal {
void sound() {
System.out.println("The pig says: wee wee");
}
}
class Dog extends Animal {
void sound() {
System.out.println("The dog says: bow wow");
}
}
ในตัวอย่างข้างต้น, `Pig` และ `Dog` ถูกสืบทอดมาจาก `Animal`. แต่ละ class มีการนิยาม method `sound()` ไว้แตกต่างกัน เพื่อให้ออกเสียงที่เหมาะกับสัตว์นั้นๆ นี่คือตัวอย่างของ Polymorphism ที่ method เดียวกัน `sound()` สามารถใช้ใน objects ที่ต่างกันและสร้างผลลัพธ์ที่ต่างกันได้.
การใช้ Polymorphism ในโค้ดจริงอาจประกอบด้วย:
class Main {
public static void main(String[] args) {
Animal myAnimal = new Animal(); // Create a Animal object
Animal myPig = new Pig(); // Create a Pig object
Animal myDog = new Dog(); // Create a Dog object
myAnimal.sound();
myPig.sound();
myDog.sound();
}
}
เมื่อรันโค้ดนี้, output ที่ได้คือ:
The animal makes a sound
The pig says: wee wee
The dog says: bow wow
นี่แสดงให้เห็นว่าแม้ว่า objects `myPig` และ `myDog` จะถูกประกาศว่าเป็นประเภท `Animal`, แต่เมื่อเรียกใช้ method `sound()`, โปรแกรมก็จำกัดการทำงานของตัวมันเองไปตามประเภทที่มันเป็นจริงๆ.
Polymorphism สร้างความยืดหยุ่นและความสามารถในการนำโค้ดกลับมาใช้ซ้ำในรูปแบบที่หลากหลาย, ทำให้ระบบโปรแกรมนั้นสามารถขยายหรือปรับเปลี่ยนได้ง่ายขึ้น ถือเป็นแนวคิดที่จำเป็นและมีค่ามากสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์. การเรียนรู้และนำความหลากหลายแบบนี้ไปใช้ในการเขียนโปรแกรมจะทำให้โค้ดของเราไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังช่วยให้การบำรุงรักษาและการอัปเดตโปรแกรมในอนาคตเป็นไปอย่างราบรื่น.
การเรียนรู้และฝึกฝนการเขียนโปรแกรมที่มีพื้นฐานแนวคิดของ OOP และ Polymorphism เป็นสิ่งที่สำคัญ และเป็นพื้นฐานให้กับทุกคนที่ต้องการพัฒนาทักษะในการเขียนโปรแกรม. หากคุณต้องการที่จะวิวัฒนาการทักษะการเขียนโปรแกรมของคุณและเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ OOP, Polymorphism และแนวคิดสำคัญอื่นๆ ในการเขียนโปรแกรม, โรงเรียนการเขียนโปรแกรมอย่าง EPT พร้อมที่จะมอบความรู้และทักษะเหล่านี้ให้คุณ.
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM