โลกของการเขียนโปรแกรมนั้นมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และหนึ่งในคอนเซปต์ที่สำคัญในการพัฒนาซอฟต์แวร์ก็คือการเขียนโปรแกรมแบบ Asynchronous หรือ การเขียนโปรแกรมแบบไม่ต้องรอตามลำดับ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีในการจัดการกับงานหลายงานที่ดำเนินการไปพร้อมๆ กันได้ ซึ่งหากใช้งานแบบ synchronous หรือแบบลำดับแบบเดิม อาจจะทำให้เกิดการหยุดชะงักได้
การโปรแกรมแบบ Asynchronous ช่วยให้โปรแกรมของเรามีความสามารถในการทำหลายๆ อย่างได้พร้อมกัน อาจพูดได้ว่ามันช่วยให้โปรแกรมนั้นทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ระบบต่างๆ ไม่ต้องรองานที่นานหรืออุดมสมบูรณ์ เช่น การเข้าถึงฐานข้อมูล, การร้องขอข้อมูลจากเว็บไซต์, หรือ การทำงานกับไฟล์ในระบบเก็บข้อมูล ซึ่งเป็นงานที่อาจใช้เวลานาน การเขียนโปรแกรมแบบ Asynchronous จะช่วยให้เราไม่ต้องรอให้งานหนึ่งเสร็จเพื่อจะทำงานต่อไปได้อีก
เพื่อที่จะเข้าใจว่า asynchronous programming มีประโยชน์อย่างไร ลองพิจารณาสถานการณ์ที่ผู้ใช้งานสั่งให้โปรแกรมทำหลายๆ งานในครั้งเดียว ในกรณีที่ใช้ synchronous programming, โปรแกรมจะจัดการกับงานที่หนึ่งและทำงานนั้นจนเสร็จสิ้นก่อนถึงจะดำเนินการกับงานต่อไป ซึ่งจะทำให้เกิด delay หากงานแรกใช้เวลารอนาน ในทางกลับกัน, asynchronous programming ช่วยให้โปรแกรมสามารถเริ่มต้นงานต่อไปได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้งานก่อนหน้าเสร็จสิ้น
ลองมาดูตัวอย่างการใช้ asynchronous programming ในภาษา JavaScript ซึ่งมีคำสั่ง `Promise` และ `async/await` ที่ใช้สำหรับงานนี้
function fetchData(url) {
// สร้าง Promise ใหม่สำหรับการดึงข้อมูล
return new Promise((resolve, reject) => {
setTimeout(() => {
// โปรดจำไว้ว่าที่นี่เป็นตัวอย่างการจำลองการดึงข้อมูล
console.log(`Fetching data from ${url}`);
resolve("data received");
}, 2000); // การจำลองเวลาที่ใช้ในการดึงข้อมูล 2 วินาที
});
}
async function handleDataRequests() {
const data1 = await fetchData('http://example.com/resource1');
console.log(data1); // แสดง "data received" หลังจาก 2 วินาที
const data2 = await fetchData('http://example.com/resource2');
console.log(data2); // แสดง "data received" หลังจากอีก 2 วินาที
}
handleDataRequests(); // เรียกใช้ฟังก์ชัน
ในตัวอย่างข้างต้น, เราได้สร้างฟังก์ชัน `handleDataRequests` ที่ดำเนินการแบบ asynchronous โดยใช้ `await` กับ `fetchData`. ด้วยวิธีนี้, หน้าที่การทำงานของโปรแกรมไม่หยุดชะงัก และยังสามารถจัดการกับงานอื่นๆ ระหว่างที่รอข้อมูลกลับมาได้
การเขียนโปรแกรมแบบ Asynchronous นั้นยังมีการปรับใช้ในภาษาโปรแกรมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Python ด้วย asyncio, C# ด้วย async/await และแม้กระทั่ง Java ที่มี CompletableFuture เป็นต้น
อย่างไรก็ตามการเขียนโปรแกรมแบบ asynchronous ยังมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ในข้อดีคือ ช่วยให้ระบบสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องรอการดำเนินการที่อาจใช้เวลานาน ทำให้ระบบตอบสนองได้รวดเร็วและรับมือกับผู้ใช้งานได้มากขึ้น ขณะที่ข้อเสียคือ อาจทำให้โค้ดดูซับซ้อนและเกิดปัญหาในการบริหารจัดการทรัพยากร ตลอดจนปัญหาเกี่ยวกับการทำงานแบบ race condition
เมื่อพิจารณาถึงประโยชน์และข้อจำกัดที่มีอยู่นี้ มันจำเป็นที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์จำเป็นต้องมีความเข้าใจในการเขียนโปรแกรมแบบ asynchronous เพื่อใช้คำสั่งอย่างถูกวิธีและสำหรับงานที่เหมาะสม ความสามารถในการจำแนกและประยุกต์การเขียนโปรแกรมในรูปแบบนี้อย่างเหมาะสมนั้น เป็นทักษะที่สำคัญสำหรับนักพัฒนาในยุคปัจจุบัน
การเรียนรู้เกี่ยวกับ asynchronous programming และการประยุกต์ใช้มันในโปรเจคต่างๆ สามารถช่วยเพิ่มโอกาสทางอาชีพและพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ หากคุณสนใจที่จะศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ asynchronous programming หรือวิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เหนือกว่า, การเริ่มต้นศึกษากับสถาบันการศึกษาที่ดีเช่น Expert-Programming-Tutor (EPT) สามารถเป็นก้าวแรกที่ดีให้กับคุณ. การได้เรียนรู้ทักษะเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ของคุณเท่านั้น แต่ยังเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าสู่อุตสาหกรรมไอทีที่มีการแข่งขันสูงในอนาคตอีกด้วย.
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM