บทความ: YAGNI – ภารกิจลดความซับซ้อนในการเขียนโปรแกรม
ความยาว: 1,500 คำ
การพัฒนาซอฟแวร์เป็นกระบวนการที่ท้าทาย ไม่เพียงเพราะความซับซ้อนของระบบที่กำลังพัฒนา แต่ยังรวมถึงการตัดสินใจว่าคุณสมบัติใดบ้างที่ควรจะพัฒนาไปพร้อมกัน บ่อยครั้งที่นักพัฒนาเริ่มต้นโปรเจกต์ใหม่ด้วยความกระตือรือร้น พร้อมด้วยความปรารถนาที่จะเติมเต็มซอฟแวร์ด้วยฟีเจอร์ที่หลากหลาย ความพยายามเหล่านี้แม้จะมีเจตนาดี แต่อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ตรงข้ามกับความคิดเริ่มต้น ซึ่งนี่เอง YAGNI (You Aren’t Gonna Need It) ช่วยให้หลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านั้นได้
YAGNI เป็นหลักการหนึ่งในการพัฒนาซอฟแวร์ที่ช่วยให้นักพัฒนามุ่งความสนใจไปที่การทำงานที่จำเป็นที่สุดในขณะนั้น หลักการนี้เริ่มต้นมาจากวิธีการพัฒนาซอฟแวร์แบบ Extreme Programming (XP) ซึ่งเน้นย้ำให้ทีมงานพัฒนาเฉพาะสิ่งที่จำเป็นจริงๆ เพื่อจำกัดความซับซ้อนและลดความเสี่ยงในโค้ดซึ่งอาจเกิดจากคุณสมบัติที่เพิ่มเข้ามาโดยไม่จำเป็น
ประหยัดเวลาและทรัพยากร
การใช้หลักการ YAGNI หมายถึงการลดเวลาที่ใช้ไปกับการเขียนโค้ดที่อาจไม่จำเป็นหรือไม่ได้รับการใช้งานจริงในอนาคต เราเน้นที่การสร้างฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนคุณค่าทางธุรกิจและของลูกค้าโดยตรง
ลดความซับซ้อนของโปรเจกต์
การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ไม่จำเป็นอาจนำไปสู่โค้ดรก และความซับซ้อนที่ไม่จำเป็น คำถามที่ YAGNI ท้าให้เราถามตัวเองคือ “ทำไมเราต้องเพิ่มฟีเจอร์นี้เข้าไปตอนนี้ทั้งๆ ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะต้องใช้มันจริงหรือ?”
โฟกัสที่ความต้องการปัจจุบัน
YAGNI สนับสนุนให้ผู้พัฒนาโฟกัสที่นวัตกรรมและการแก้ไขปัญหาที่เร่งด่วนและจำเป็นในปัจจุบัน การทำเช่นนี้ทำให้ผลงานมีความร้อยรัดและมีคุณค่าแก่ผู้ใช้มากที่สุด
ลดความเสี่ยงของการพัฒนาระบบ
ในโลกแห่งการพัฒนาซอฟแวร์ การเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนทำให้เกิดความเสี่ยงและอาจนำไปสู่ความล้มเหลวของซอฟแวร์ หลักการ YAGNI ช่วยให้ทีมงานพัฒนาโค้ดได้ง่ายขึ้นและมีความเสี่ยงน้อยลง
ลองพิจารณาสถานการณ์ในการพัฒนาแอพพลิเคชันสำหรับการจองตั๋วหนัง
ปรากฏว่ามีความคิดที่จะสร้างระบบแนะนำหนังที่ผู้ใช้อาจชอบซึ่งคาดว่าจะเพิ่มฟังก์ชันการซื้อตั๋วในอนาคต แต่ขณะนี้การฟังก์ชันหลักที่จำเป็นคือการเลือกหนัง, เลือกที่นั่ง และสั่งซื้อตั๋วเท่านั้น
ถ้าพิจารณาตามหลักการ YAGNI เราอาจเลือกที่จะไม่พัฒนาระบบแนะนำหนังในขณะนี้ แต่จะเน้นที่การทำให้กระบวนการจองตั๋วเป็นไปอย่างราบรื่นก่อน
class MovieTicketBooking:
def __init__(self):
self.movies = self.get_current_movies()
self.showtimes = self.get_showtimes()
self.seats = self.get_seats()
def get_current_movies(self):
# โค้ดสำหรับเข้าถึงฐานข้อมูลหนังที่เรามี
pass
def get_showtimes(self):
# โค้ดสำหรับเข้าถึงรอบการฉายหนัง
pass
def get_seats(self):
# โค้ดสำหรับเลือกที่นั่ง
pass
def book_ticket(self, movie_id, showtime_id, seat_id):
# โค้ดสำหรับการจองตั๋ว
pass
# Usage
booking_system = MovieTicketBooking()
booking_system.book_ticket("MOV123", "SHOW456", "SEAT789")
ในตัวอย่างนี้, เรากำหนดฟังก์ชันพื้นฐานสำหรับการจองตั๋วหนังและไม่ได้เพิ่มความซับซ้อนด้วยการสร้างระบบแนะนำหนังในขณะนี้
หลักการ YAGNI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการควบคุมความปรารถนาที่จะสร้างโค้ดล่วงหน้า มันช่วยให้ทีมงานเน้นที่การสร้างสิ่งที่จำเป็นจริงๆ ลดความเสี่ยงและประหยัดทรัพยากร หากคุณสนใจในการเรียนรู้และประยุกต์ใช้หลักการนี้ในการทำงานของคุณ การศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมมีประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาทักษะของคุณ จงพิจารณาที่จะเรียนรู้กับแหล่งความรู้ที่มีคุณภาพอย่าง Expert-Programming-Tutor หรือ EPT ที่มีหลักสูตรและการสอนที่เชื่อมโยงกับสถานการณ์จริงในโลกธุรกิจเพื่อช่วยยกระดับความสามารถของคุณไปอีกขั้น
ยกตัวอย่างการเรียนที่ EPT เราได้รับการสอนเพื่อสร้างคุณค่าแห่งการโค้ดด้วยมือ ประสบการณ์จริง และการสร้างหลักสูตรที่เน้นให้คุณได้นำไปประยุกต์ใช้กับงานจริง การเรียนรู้ YAGNI คือการลงทุนสำหรับนักพัฒนาซอฟแวร์ที่ต้องการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าและมีประสิทธิภาพ ระลึกไว้เสมอว่า "สิ่งที่เราคิดว่าเราจะต้องใช้ในอนาคต อาจไม่เคยได้รับการใช้งานจริงเลยก็ได้" และนั่นคือหัวใจของ YAGNI.
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM