การใช้งาน nested if-else ในภาษา Objective-C แบบง่ายๆ พร้อมตัวอย่าง CODE 3 ตัวอย่าง และอธิบายการทำงาน และยกตัวอย่าง usecase ในโลกจริง

ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งการเขียนโปรแกรม ที่ EPT! วันนี้เราจะพูดคุยเกี่ยวกับ “nested if-else” ในภาษา Objective-C ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการตัดสินใจในโปรแกรมของเรา ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาแอปพลิเคชั่น iOS, macOS หรือระบบพื้นฐานอื่นๆ ที่ใช้ Objective-C เป็นหลัก

Nested if-else ก็คือการใช้งาน if-else ซ้อนกัน หมายถึงเราสามารถมี if-else อยู่ภายใน if หรือ else อีกทีหนึ่ง หรือมากกว่านั้น เพื่อทดสอบเงื่อนไขที่ซับซ้อนมากขึ้น จะทำให้โปรแกรมของเราสามารถจัดการกับสถานการณ์ที่มีหลากหลายได้อย่างเฉียบขาด

ตัวอย่างที่ 1: การตัดสินใจแบบง่ายๆ

int score = 85;

if (score >= 80) {
    NSLog(@"ได้เกรด A");
} else if (score >= 70) {
    NSLog(@"ได้เกรด B");
} else if (score >= 60) {
    NSLog(@"ได้เกรด C");
} else {
    NSLog(@"ได้เกรด F");
}

ในตัวอย่างนี้ เราต้องการที่จะตรวจสอบคะแนนและแสดงเกรดที่ตรงกัน สิ่งที่เราทำคือการใช้ if-else ซ้อนกันเพื่อทดสอบช่วงคะแนนต่างๆ

ตัวอย่างที่ 2: การตัดสินใจที่ซับซ้อนขึ้น

int age = 20;
BOOL hasValidID = YES;

if (age >= 18) {
    if (hasValidID) {
        NSLog(@"คุณสามารถขอออกบัตรเลือกตั้งได้");
    } else {
        NSLog(@"คุณต้องมีบัตรประชาชนที่ถูกต้อง");
    }
} else {
    NSLog(@"คุณยังไม่ถึงเกณฑ์อายุที่จะขอออกบัตรเลือกตั้ง");
}

ในตัวอย่างนี้ เรามีเงื่อนไขซ้อนเงื่อนไข ไม่เพียงแต่ตรวจสอบอายุเท่านั้น แต่ยังตรวจสอบการมีบัตรประชาชนที่ถูกต้องอีกด้วย

ตัวอย่างที่ 3: การใช้งานที่แสดงถึงความซับซ้อนมากขึ้นในสถานการณ์จริง

double balance = 1000.0;
double withdrawalAmount = 500.0;
BOOL isWeekend = NO;

if (balance >= withdrawalAmount) {
    if (isWeekend) {
        NSLog(@"จำนวนเงินที่สามารถถอนได้จะมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม");
        balance -= (withdrawalAmount + 50);  // ค่าธรรมเนียม 50 บาท
    } else {
        NSLog(@"คุณถอนเงินครั้งนี้ไม่มีค่าธรรมเนียม");
        balance -= withdrawalAmount;
    }
} else {
    NSLog(@"ยอดเงินไม่เพียงพอสำหรับการถอน");
}

NSLog(@"ยอดเงินคงเหลือในบัญชีคือ: %.2f", balance);

ในตัวอย่างนี้ เราเห็นการใช้งาน nested if-else ในการจัดการการถอนเงินจากบัญชีธนาคาร โดยมีการพิจารณาวันที่และค่าธรรมเนียมที่อาจเกิดขึ้น

เห็นได้ชัดว่าการใช้งาน nested if-else ทำให้โปรแกรมของเราสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่แตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นในการพิจารณาเงื่อนไขที่มีหลายชั้นหรือการจับคู่เงื่อนไขหลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน

การเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้งาน nested if-else ถือเป็นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับนักพัฒนาทุกคน และที่ EPT เรามีหลักสูตรที่จะช่วยให้คุณเข้าใจหลักการเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง หากคุณสนใจที่จะเรียนรู้และปรับปรุงทักษะการเขียนโปรแกรมของคุณ เราขอเชิญคุณมาร่วมเรียนกับเราที่ EPT พร้อมทั้งค้นหาโอกาสในการพัฒนาแอปพลิเคชันและโซลูชันสร้างสรรค์ที่เปลี่ยนโลกไปด้วยกัน หากคุณพร้อมล่วงหน้าไปอีกขั้นในการเป็นนักพัฒนา Objective-C ชั้นยอด เรายินดีพาคุณไปสู่จุดนั้น!

หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง