Polymorphism หรือที่เรารู้จักในชื่อ "หลายรูปแบบ" เป็นหนึ่งในหลักการที่สำคัญของการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object-Oriented Programming: OOP) ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจว่า Polymorphism คืออะไร ทำงานอย่างไรในภาษา Objective-C พร้อมตัวอย่างโค้ดที่เข้าใจง่าย และยกตัวอย่าง use case ในโลกจริง ซึ่งจะช่วยให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น
Polymorphism คืออะไร?
Polymorphism ใน OOP หมายถึงความสามารถของวัตถุในการใช้รูปแบบที่แตกต่างกัน โดยสามารถเป็นมาตรฐานเดียวกันได้ ซึ่งมีทั้งการใช้ที่เรียกว่า **Compile-time Polymorphism** และ **Runtime Polymorphism** ในภาษา Objective-C เราส่วนใหญ่อยู่ที่ Runtime Polymorphism
##### ตัวอย่างของ Polymorphism
เรามาดูตัวอย่างที่ง่ายที่สุดในการใช้ Polymorphism ดังนี้:
1. Base Class (คลาสพื้นฐาน):เราจะสร้างคลาสพื้นฐานที่ชื่อว่า `Animal` ซึ่งจะมีเมธอด `sound` ที่คาดว่าจะให้เสียงที่แตกต่างกัน
2. Derived Classes (คลาสที่สืบทอด):
เราจะสร้างคลาสที่สืบทอดจาก `Animal` สองคลาส ได้แก่ `Dog` และ `Cat` ซึ่งจะมีเมธอด `sound` ของตัวเอง
3. การใช้งาน Polymorphism:
ในส่วนนี้ เราจะสร้างอาร์เรย์เพื่อเก็บวัตถุประเภท `Animal` ซึ่งจะสามารถเรียกใช้ `sound` ได้ตามที่แต่ละคลาสกำหนด
อธิบายการทำงาน
ในตัวอย่างข้างต้น เราเห็นว่า `Animal` เป็นคลาสพื้นฐาน และ `Dog` และ `Cat` เป็นคลาสที่สืบทอดจาก `Animal` เมธอด `sound` ในแต่ละคลาสถูก override ด้วยการให้เสียงที่แตกต่างกัน แต่เราสามารถเรียกใช้เมธอดเดียวกันผ่านอาร์เรย์ของ `Animal` นั่นหมายความว่าไม่ว่าเราจะทำการ เชื่อมโยงอ็อบเจกต์ของคลาสใดก็ตามตาม `Animal` เราจะสามารถเรียกเมธอด `sound` ได้ ตรงนี้แสดงให้เห็นถึง Polymorphism
Use Case ในโลกจริง
Polymorphism สามารถนำไปใช้งานในหลากหลายสถานการณ์ เช่น:
- เกม: ในเกมที่มีตัวละครหลากหลายประเภท เราสามารถสร้างคลาสพื้นฐาน `Character` และคลาสที่สืบทอด เช่น `Warrior`, `Mage`, `Archer` แล้วทำการ override เมธอด `attack` และ `defend` แต่ยังคงใช้งานร่วมกันผ่านคลาส `Character` - ระบบการจัดการ: ในระบบการจัดการข้อมูล เราสามารถสร้างคลาสพื้นฐาน `Vehicle` ที่มีคลาสที่สืบทอด `Car`, `Truck`, และ `Motorcycle` โดยคลาสต่างๆ สามารถมีเมธอด `move` ที่ทำงานแตกต่างกันออกไปตามประเภทของยานพาหนะ
การใช้ Polymorphism ช่วยให้โค้ดของเรามีความยืดหยุ่น ง่ายต่อการขยาย และปรับปรุง โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงโค้ดในส่วนของส่วนกลาง นอกจากนี้ยังช่วยให้เราสามารถจัดการวัตถุที่แตกต่างกันได้ในลักษณะเดียวกัน
หากคุณสนใจเรียนรู้แนวคิด OOP และ Polymorphism อย่างลึกซึ้งมากขึ้น ไม่ควรพลาดที่จะเข้ามาเรียนที่ EPT (Expert-Programming-Tutor) ที่นี่เรามีคอร์สการสอนที่ครอบคลุม และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาเทคนิคการเขียนโปรแกรมในระดับสูง มาเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกันที่ EPT ได้เลย!
สรุปแล้ว Polymorphism เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเขียนโปรแกรม ด้วยความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่างคลาสที่ต่างกัน ซึ่งทำให้โปรแกรมของคุณมีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เราหวังว่าคุณจะสนใจในแนวคิดนี้และนำไปปรับใช้ในงานของคุณ ขอให้ทุกคนโชคดีในเส้นทางการเขียนโปรแกรมของคุณ!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
Tag ที่น่าสนใจ: java c# vb.net python c c++ machine_learning web database oop cloud aws ios android
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM