การแนะนำสู่ JSON: รูปแบบข้อมูลที่เรียบง่ายและทรงพลัง
JSON หรือชื่อเต็มว่า JavaScript Object Notation เป็นรูปแบบข้อมูลที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการพัฒนาโปรแกรมในยุคปัจจุบัน จัดอยู่ในกลุ่มของการแทนข้อมูลที่ง่ายต่อการอ่านและการเขียนสำหรับมนุษย์ และง่ายต่อการสร้างและการประมวลผลโดยเครื่องจักร ความเรียบง่ายนี้เองทำให้ JSON ถูกใช้อย่างแพร่หลายตั้งแต่การรับส่งข้อมูลระหว่างเซอร์เวอร์และเว็บแอปพลิเคชัน ไปจนถึงการใช้งานใน API ต่าง ๆ
JSON ถูกพัฒนาขึ้นในยุคปลายปี ค.ศ. 1990 โดย Douglas Crockford ในช่วงที่ความนิยมของการสื่อสารข้อมูล Web 2.0 เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องมีรูปแบบข้อมูลที่สามารถรองรับการรับส่งข้อมูลที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ JSON จึงกลายเป็นทางเลือกที่ดีกว่า XML ที่เคยได้รับความนิยมในอดีต
โครงสร้างของ JSON ประกอบด้วยประเภทของข้อมูลพื้นฐาน ได้แก่:
1. Object: เป็นชุดของคู่ชื่อ-ค่า (name/value pair) ซ้อนกันในรูป `{ }` แต่ละคู่ประกอบด้วยชื่อซึ่งตามด้วยเครื่องหมาย colon (`:`) และค่านั้น ๆ โดยแต่ละคู่คั่นด้วยลูกน้ำ (,)
{
"name": "John",
"age": 30,
"isStudent": true
}
2. Array: ลำดับของค่าต่าง ๆ รวมกันในรูป `[ ]` โดยที่ค่าแต่ละตัวสามารถเป็นชนิดใดก็ได้ เช่น Object หรือแม้แต่ Array ซ้อน ๆ กัน
["JavaScript", "Python", "Java"]
3. Value: เป็นข้อมูลที่ JSON เก็บไว้ ซึ่งอาจจะเป็น `string`, `number`, `boolean`, `null`, `object`, หรือ `array`
4. String: ข้อมูลข้อความที่ใช้เครื่องหมายคำพูดสองชั้น (" ")
5. Number: จำนวนมากที่เป็นไปได้ทั้งจำนวนเต็มและทศนิยม
6. Boolean: ค่าตรรกะที่เป็นจริง (`true`) หรือเท็จ (`false`)
7. Null: ค่าว่างเปล่าซึ่งแสดงถึงการไม่มีข้อมูลหรือค่า
ในทางปฏิบัติ JSON มักจะถูกใช้ใน AJAX เพื่อส่งข้อมูลระหว่างเซิร์ฟเวอร์และไคลเอนต์ โดยเน้นการใช้กับ JavaScript ที่สามารถแปลง JSON ได้อย่างง่ายดายผ่าน `JSON.parse()` และ `JSON.stringify()` ซึ่งเป็นเมธอดในตัวของ JavaScript เอง
// แปลง JSON string ไปเป็น JavaScript object
let jsonString = '{"name": "Alice", "age": 25}';
let user = JSON.parse(jsonString);
console.log(user.name); // Alice
// แปลง JavaScript object ไปเป็น JSON string
let newUser = { name: "Bob", age: 26 };
let newJsonString = JSON.stringify(newUser);
console.log(newJsonString); // {"name":"Bob","age":26}
เหตุที่ JSON ได้รับความนิยมเป็นเพราะความง่ายในการรวมเข้ากับเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เป็นมาตรฐาน ปัจจุบันภาษาโปรแกรมเกือบทุกภาษาสามารถใช้งานและจัดการกับ JSON ได้อย่างดี ตั้งแต่ Python, Java, PHP ไปจนถึงภาษาเฉพาะทางอย่าง Swift และ Kotlin นอกจากนี้ JSON ยังเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการจัดเก็บข้อมูลระยะยาว เช่นการตั้งค่าแอปพลิเคชัน หรือการจัดการโครงสร้าง Storage ใด ๆ ที่ต้องการความยืดหยุ่น
ข้อดี:
- เรียบง่าย: การเขียนและอ่านง่ายโดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจ syntax ที่ซับซ้อน - ขนาดเล็ก: ขนาดของ JSON มักจะเล็กกว่า XML ทำให้การรับส่งข้อมูลรวดเร็ว - ขยายง่าย: การเพิ่มหรือปรับปรุงข้อมูลใน JSON นั้นไม่ซับซ้อนข้อเสีย:
- รูปแบบข้อมูลจำกัด: ไม่รองรับข้อมูลชนิดวันที่หรือชื่อตัวแปรที่มีชนิดข้อมูลที่ชัดเจน - การประมวลผลสมบูรณ์แบบ: การใช้ JSON อาจต้องการการประมวลผลเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลถูกต้อง
การทำงานร่วมกับสถานที่เรียนที่เน้นการฝึกฝนและการเรียนรู้เชิงลึก เช่นที่ EPT จะช่วยให้นักศึกษามีความเข้าใจและสามารถนำ JSON ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ที่ EPT ยังมีการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ผ่านการทำ workshops และ projects ที่จะช่วยให้เกิดประสบการณ์จริงที่มีคุณค่าในการพัฒนาโปรแกรมในชีวิตจริง
JSON นับเป็นเครื่องมือที่ทุกนักพัฒนาโปรแกรมควรมีความเชี่ยวชาญ ด้วยความง่ายและความสามารถในการปรับใช้ JSON จะยังคงเป็นที่นิยมและจะยังคงเป็นส่วนสำคัญของการรับส่งข้อมูลในโลกแห่งการพัฒนาโปรแกรมในอนาคต
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
Tag ที่น่าสนใจ: java c# vb.net python c c++ machine_learning web database oop cloud aws ios android
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM