การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object-Oriented Programming หรือ OOP) เป็นหนึ่งในแนวคิดที่มีความสำคัญสูงมากในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ แนวคิดนี้ช่วยให้นักพัฒนาสามารถออกแบบซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนได้อย่างมีโครงสร้างและจัดการได้ง่าย โดยแนวคิด OOP ที่สำคัญประกอบไปด้วยการสืบทอด (Inheritance), การห่อหุ้มข้อมูล (Encapsulation), การใช้คลาส (Class) และ พหุสัณฐาน (Polymorphism) ซึ่งในบทความนี้เราจะมาพูดถึงการใช้ Polymorphism ใน OOP ผ่านเครื่องมือที่ชื่อว่า Class ใน JavaScript ที่นาเสนอในมาตรฐาน ECMAScript 6 (ES6)
ในช่วงแรกของการพัฒนา JavaScript ยังไม่มีการสนับสนุน Class โดยตรง แต่หลังจากที่มาตรฐาน ES6 ถูกเผยแพร่ในปี 2015 ก็ได้มีการเพิ่มการสนับสนุน Class เข้ามา ทำให้นักพัฒนาสามารถประยุกต์ใช้ OOP ได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างการประกาศ Class ใน JavaScript มีดังนี้:
class Animal {
constructor(name) {
this.name = name;
}
makeSound() {
console.log('Some generic animal sound');
}
}
Polymorphism หมายถึงความสามารถในการที่ฟังก์ชั่นเดียวกันสามารถทำงานได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับอาร์กิวเมนต์หรือชนิดที่แตกต่างกัน ในแง่ของ OOP Polymorphism ช่วยให้สามารถตั้งโครงสร้างที่เปิดโอกาสให้ใช้ Object จากคลาสที่แตกต่างกันที่เกี่ยวข้องกันได้ โดยไม่ต้องทราบว่ามันเป็นตัวออบเจ็กต์ของคลาสใด
การสืบทอด (Inheritance) เป็นพื้นฐานในการสร้าง Polymorphism ใน JavaScript ตัวอย่างเช่น:
class Dog extends Animal {
makeSound() {
console.log('Woof Woof');
}
}
class Cat extends Animal {
makeSound() {
console.log('Meow Meow');
}
}
จากตัวอย่างข้างต้น `Dog` และ `Cat` เป็นคลาสย่อยที่สืบทอดคุณสมบัติและเมธอดจากคลาส `Animal` แต่ทั้งสองคลาสได้ทำการ override เมธอด `makeSound()` ทำให้การทำงานแตกต่างกัน สำหรับ `Dog` จะพิมพ์เสียงสุนัขออกมา ขณะที่ `Cat` จะพิมพ์เสียงแมว
การใช้ Polymorphism มักจะถูกใช้ในการออกแบบ API หรือ Framework ขนาดใหญ่ ตัวอย่างเช่น ระบบสั่งการให้กล่าวเสียงตามประเภทของสัตว์ที่อยู่ในรายการ โดยไม่จำเป็นต้องทราบประเภทจริงๆ ของสัตว์นั้น
function makeAnimalSound(animal) {
animal.makeSound();
}
let myDog = new Dog('Buddy');
let myCat = new Cat('Kitty');
makeAnimalSound(myDog); // Woof Woof
makeAnimalSound(myCat); // Meow Meow
จากตัวอย่างนี้ ฟังก์ชั่น `makeAnimalSound` สามารถรับอาร์กิวเมนต์เป็น object ของคลาสใดก็ได้ที่มีเมธอด `makeSound` ตามอุปกรณ์การพัฒนาการทำงาน
หนึ่งในข้อดีที่เด่นชัดของ Polymorphism คือการลดความซับซ้อนของโค้ดและลดการใช้โค้ดซ้ำ (Code Duplication) การเพิ่มเมธอดใหม่ในคลาสย่อยสามารถช่วยปรับปรุงหรือเพิ่มฟีเจอร์ได้โดยไม่ต้องแก้ไขโค้ดหลักที่เรียกใช้เมธอดเหล่านั้น
ถึงกระนั้นก็มีข้อควรระวังในการใช้ Polymorphism เช่น ความซับซ้อนของระบบที่เพิ่มขึ้นอาจนำไปสู่ข้อผิดพลาดที่ตรวจจับได้ยากกว่า และควรมีการทำความเข้าใจในการใช้งานและโครงสร้างของระบบอย่างลึกซึ้ง
การใช้ Class และ Polymorphism ใน JavaScript ที่อิงตามมาตรฐาน ES6 เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการออกแบบซอฟต์แวร์ การใช้แนวคิด OOP ไม่เพียงช่วยให้นักพัฒนาจัดการโครงสร้างโปรแกรมได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มความยั่งยืนและความยืดหยุ่นให้กับระบบอีกด้วย
หากคุณสนใจที่จะเรียนรู้การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุใน JavaScript เพิ่มเติม อย่าลังเลที่จะสำรวจแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย และหากต้องการการติวเข้มจากผู้เชี่ยวชาญ ลองศึกษาหลักสูตรที่ EPT เรายินดีจะช่วยคุณให้ก้าวหน้าในเส้นทางการพัฒนาโปรแกรมอย่างมั่นคงและยั่งยืน
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
Tag ที่น่าสนใจ: java c# vb.net python c c++ machine_learning web database oop cloud aws ios android
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM