การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object-Oriented Programming หรือ OOP) เป็นแนวคิดที่มีความสำคัญและถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายภาษาโปรแกรม รวมถึง JavaScript ด้วย การใช้แนวคิด OOP ช่วยให้เราสามารถเขียนโปรแกรมที่มีโครงสร้างดี ดูแลง่าย และสามารถสร้างซอฟต์แวร์ที่มีความยืดหยุ่นสูงขึ้น
หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของ OOP คือการใช้ "getter" และ "setter" ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่เราพบเจอได้ในโค้ดภาษาโปรแกรมมากมาย แม้ว่า JavaScript อาจไม่ใช่ภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุแบบสมบูรณ์แบบเช่น Java หรือ C++ แต่การใช้ getter และ setter ใน JavaScript ช่วยให้เราสามารถควบคุมข้อมูลภายใน object ได้ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับภาษาที่เน้น OOP
#### ความหมายของ Getter และ Setter
1. Getter: เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการ "ดึงค่า" ของ property ของ object โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงสถานะของ object นั้นๆ มันคือวิธีที่สามารถเข้าถึงข้อมูลโดยไม่กระทบกับข้อมูลจริงที่ถูกเก็บไว้ 2. Setter: เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการ "ตั้งค่า" ของ property ของ object ซึ่งช่วยให้เราสามารถตรวจสอบหรือจัดรูปแบบข้อมูลให้เข้าสู่เงื่อนไขที่ต้องการก่อนจะถูกเก็บไว้ใน object นั้น#### การใช้งาน Getter และ Setter ใน JavaScript
การใช้งาน getter และ setter ใน JavaScript นั้น จะใช้คำสั่ง `get` และ `set` ตามลำดับ ตัวอย่างการใช้งานต่อไปนี้แสดงให้เห็นถึงวิธีการประกาศและใช้งาน getter และ setter ใน object
const person = {
firstName: 'John',
lastName: 'Doe',
// Getter
get fullName() {
return this.firstName + ' ' + this.lastName;
},
// Setter
set fullName(name) {
const parts = name.split(' ');
this.firstName = parts[0] || '';
this.lastName = parts[1] || '';
}
};
console.log(person.fullName); // John Doe
person.fullName = 'Jane Smith';
console.log(person.firstName); // Jane
console.log(person.lastName); // Smith
ในตัวอย่างนี้ เราได้สร้าง object ชื่อ `person` ซึ่งมี property ชื่อ `firstName` และ `lastName` และเราได้สร้าง getter และ setter สำหรับ property `fullName` โดยใช้การรวมค่าและการแยกค่า string ผ่าน `get` และ `set`
#### ประโยชน์ของการใช้ Getter และ Setter
1. การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล: การใช้ getter และ setter ช่วยให้เราเลือกที่จะเปิดเผยข้อมูลที่จำเป็นได้เท่านั้น หรือปรับปรุงการเข้าถึงข้อมูลให้ตรงตามข้อกำหนดของประเภทข้อมูล 2. การจัดการความผิดพลาด: ฟังก์ชัน setter สามารถใช้เพื่อการตรวจสอบว่าข้อมูลที่บันทึกลงไปสอดคล้องตามที่กำหนดก่อนการเปลี่ยนแปลง จะช่วยลดข้อผิดพลาดของประเภทข้อมูลที่ผิด 3. การทำให้โปรแกรมมีความสัมพันธ์กันมากขึ้น: เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง property ของ object ข้อมูลที่เกี่ยวข้องก็สามารถถูกอัพเดตตามไปด้วยผ่านการใช้งาน getter, setter#### ข้อควรระวังในการใช้งาน
- ฟังก์ชันหนัก (Heavy Computation): ควรหลีกเลี่ยงการทำ operations ที่ซับซ้อนใน getter และ setter ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของโปรแกรม - การเปลี่ยนแปลงสถานะ (State Changes): พึงระวังว่าการใช้ getter ไม่ควรมีการเปลี่ยนแปลงสถานะของ object.การใช้ getter และ setter ใน JavaScript จึงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับการทำงานกับ object แต่อย่าลืมว่าการเขียนโปรแกรมที่ดีต้องมีการออกแบบที่ดี และรอบคอบเสมอ
หากคุณสนใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุใน JavaScript หรือภาษาโปรแกรมอื่น ๆ สถาบัน Expert-Programming-Tutor (EPT) มีหลักสูตรที่ครอบคลุม และอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยให้คุณเข้าใจหลักการของการเขียนโปรแกรมและการออกแบบซอฟต์แวร์ได้ดียิ่งขึ้น สมัครเรียนกับเราวันนี้เพื่อพัฒนาทักษะในสายงาน IT ของคุณ!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
Tag ที่น่าสนใจ: java c# vb.net python c c++ machine_learning web database oop cloud aws ios android
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM