---
เมื่อพูดถึงการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP - Object-Oriented Programming) นักพัฒนาส่วนใหญ่อาจคุ้นเคยกับภาษาต่างๆ เช่น Java, Python, หรือ C++. แต่ในโลกของ JavaScript ที่เป็นภาษาที่พัฒนาเพื่อการโปรแกรมฝั่งเว็บ (web programming) ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงนั้น หลายคนอาจยังไม่รู้ว่ามันสามารถนำหลักการ OOP มาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการแนะนำคุณสมบัติใหม่ๆ ใน ECMAScript รุ่นล่าสุด
เมื่อพูดถึง OOP จุดหนึ่งที่สำคัญคือการซ่อนข้อมูล (Data Encapsulation) ซึ่งหมายถึงการป้องกันไม่ให้โค้ดภายนอกสามารถเข้าถึงหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยไม่ผ่านเมธอดที่กำหนดไว้ ในบทความนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่การซ่อนข้อมูลใน JavaScript ด้วย Private Properties
การซ่อนข้อมูลทำให้นักพัฒนาสามารถควบคุมการเข้าถึงและเปลี่ยนแปลงค่าข้อมูล ประโยชน์ของมันคือเพิ่มความปลอดภัยและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลภายในที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งโดยปกติในภาษาเชิงวัตถุที่มีการกำหนดระดับการเข้าถึง (access modifier) ชัดเจน เช่น "private" เพื่อปกปิดข้อมูลจากภายนอกได้โดยตรง
การจัดการกับ Private Properties ใน JavaScript ได้รับการพัฒนาให้ใช้ง่ายมากขึ้นด้วยการแนะนำ syntax ใหม่ๆ ใน ECMAScript รุ่นล่าสุด วิธีการหลักในการทำให้ข้อมูลเป็น private คือการใช้ "hashtag" หรือเครื่องหมาย "ล่างขีด" (#) นำหน้าชื่อตัวแปรภายใน class
ตัวอย่างการใช้งาน
ลองมาดูตัวอย่างการสร้าง class ที่มี private properties:
class Car {
#engineState;
constructor(brand) {
this.brand = brand;
this.#engineState = 'off';
}
startEngine() {
if (this.#engineState === 'off') {
this.#engineState = 'on';
console.log('Engine is now on.');
}
}
stopEngine() {
if (this.#engineState === 'on') {
this.#engineState = 'off';
console.log('Engine is now off.');
}
}
}
const myCar = new Car('Toyota');
myCar.startEngine(); // Output: Engine is now on.
console.log(myCar.#engineState); // SyntaxError: Private field '#engineState' must be declared in an enclosing class
ในตัวอย่างนี้ โปรดสังเกตว่า `#engineState` เป็น private property ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้จากภายนอก class โดยตรง การพยายามเข้าถึงจะทำให้เกิด SyntaxError
การใช้ Private Properties มีประโยชน์มากมาย เช่น:
1. เพิ่มความปลอดภัย: ข้อมูลสำคัญหรือค่าภายใน object จะถูกป้องกันจากการเปลี่ยนแปลงโดยตรง 2. ควบคุมการเข้าถึง: สามารถกำหนดวิธีการและเงื่อนไขของการเข้าถึงหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ผ่าน method 3. ลดข้อผิดพลาด: ลดปัญหาที่อาจเกิดจากการลบหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่ไม่ควรทำ
การใช้ Private Properties ควรมีการวางแผนโครงสร้างของคลาสให้ดี คำนึงถึงข้อกำหนดต่อการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่จำเป็น อีกทั้งยังต้องระวังเรื่องการเพิ่มภาระในการบริการข้อมูลภายในคลาสที่อาจยุ่งยากมากขึ้น
การเข้าใจและใช้งาน OOP โดยเฉพาะเรื่องการซ่อนข้อมูลใน JavaScript อาจช่วยสมาชิกที่สนใจพัฒนาฝีมือด้านการเขียนโปรแกรมให้ยกระดับขึ้น นอกจากนี้ผู้ที่สนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมในเชิงลึกสามารถพิจารณาเข้าร่วมเรียนกับ EPT โรงเรียนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยหลักสูตรคุณภาพในการเรียนรู้โปรแกรมมิ่งในทุกระดับ
ในท้ายที่สุด การซ่อนข้อมูลด้วย Private Properties ใน JavaScript เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้างโค้ดที่มีคุณภาพสูง การเน้นเรื่องการซ่อนข้อมูลที่ดีจะช่วยสร้างซอฟต์แวร์ที่มีความเสถียรและปลอดภัยยิ่งขึ้น
---
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงการนำ OOP มาใช้ใน JavaScript ได้มากขึ้นและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในโปรเจกต์ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
Tag ที่น่าสนใจ: java c# vb.net python c c++ machine_learning web database oop cloud aws ios android
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM