Polymorphism คือ ความสามารถที่ทำให้วัตถุสามารถใช้ฟังก์ชันเดียวกัน แต่แสดงผลลัพธ์ที่แตกต่างกันได้ตามชนิดของวัตถุนั้น ๆ ใน OOP เราสามารถใช้ Polymorphism เพื่อสร้างฟังก์ชันที่มีชื่อเดียวกันในหลาย ๆ คลาส แต่ทำงานแตกต่างกันไปตามชนิดของวัตถุที่เราสร้างขึ้นมา
รูปแบบของ Polymorphism
Polymorphism ใน OOP มี 2 ประเภทหลัก ได้แก่:
1. Compile-time Polymorphism (Static Polymorphism): ฟังก์ชันหรือเมธอดจะถูกกำหนดในช่วงเวลาของการคอมไพล์ เช่น การโอเวอร์โหลดฟังก์ชัน 2. Run-time Polymorphism (Dynamic Polymorphism): ฟังก์ชันหรือเมธอดจะถูกกำหนดในช่วงเวลาของการทำงาน เช่น การโอเวอร์ไรด์ฟังก์ชันในคลาสลูกในที่นี้ เราจะมุ่งเน้นไปที่ Run-time Polymorphism ซึ่งสามารถใช้ได้ในภาษา R โดยการใช้การสืบทอด (Inheritance) และการโอเวอร์ไรด์ (Overriding)
1. การสร้างคลาสเบื้องต้น
ก่อนอื่นเรามาสร้างคลาสพื้นฐานสำหรับ `Shape` และคลาสลูกที่เป็น `Circle` และ `Rectangle` กันดีกว่า
2. การใช้งาน Polymorphism
เมื่อเรามีคลาสที่สร้างขึ้นมาแล้ว เราสามารถสร้างอ็อบเจกต์จากคลาสเหล่านี้และเรียกใช้เมธอด `area` ได้แบบนี้:
อธิบายการทำงาน
ในตัวอย่างข้างต้น เราสร้างคลาส `Shape` เป็นคลาสพื้นฐานซึ่งมีฟังก์ชัน `area()` ที่ไม่มีการกำหนดรายละเอียดการทำงาน เมื่อคลาส `Circle` และ `Rectangle` ถูกสร้างขึ้นมาพวกมันสามารถโอเวอร์ไรด์ฟังก์ชัน `area()` ของคลาส `Shape` เพื่อให้มีการคำนวณพื้นที่ตามชนิดได้อย่างเหมาะสม
เมื่อเราสร้างอ็อบเจกต์ของ `Circle` และ `Rectangle` แล้วเรียกใช้ฟังก์ชัน `area()` ระบบจะรู้ได้ว่าเราต้องการให้มันเรียกใช้ฟังก์ชันไหนจากคลาสใด ๆ ที่เราสร้างขึ้น ซึ่งนี่คือหัวใจของ Polymorphism - ความยืดหยุ่นในการทำงานกับชนิดข้อมูลที่แตกต่างกัน
1. ระบบจัดการรูปทรง
ในแอปพลิเคชันที่ต้องการการคำนวณพื้นที่ของรูปร่างต่าง ๆ เช่น การออกแบบกราฟฟิก การวาดภาพ หรือแม้แต่ในวิศวกรรม อาคาร หรือการออกแบบแบบจำลอง ขณะที่เราสามารถใช้ Polymorphism เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกประเภทของรูปร่างที่ต้องการคำนวณได้ โดยไม่ต้องห่วงเราต้องเขียนโค้ดใหม่สำหรับรูปทรงแต่ละประเภท
2. การพัฒนาเกม
ในเกมที่มีหลายชนิดของตัวละคร (Character) เช่น นักรบ (Warrior), นักเวทย์ (Mage) เป็นต้น เราสามารถสร้างคลาสหลัก `Character` แล้วสร้างคลาสย่อยสำหรับทุกตัวละคร จากนั้นทำให้แต่ละตัวละครสามารถมีทักษะ (Skill) ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งสามารถเรียกใช้งานได้เหมือนกัน เช่น `attack()` หรือ `defend()`
Polymorphism เป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถออกแบบและพัฒนาระบบที่มีความซับซ้อนได้โดยไม่ทำให้โค้ดซ้ำซ้อนหรือยุ่งเหยิง ด้วยการใช้ Polymorphism ในภาษา R คุณจะสามารถสร้างโครงการที่มีความยืดหยุ่นได้มากยิ่งขึ้น
หากคุณสนใจที่จะเรียนรู้และพัฒนาทักษะการเขียนโปรแกรมของคุณ ยินดีต้อนรับสู่ EPT - Expert-Programming-Tutor! ที่นี่เรามีคอร์สเรียนหลากหลายประเภท พร้อมผู้สอนที่จะช่วยให้คุณค้นหาความรู้และพัฒนาความสามารถในการเขียนโปรแกรมของคุณให้โดดเด่น!
ทำไมไม่ลองติดต่อเราและเริ่มต้นการเดินทางในการเรียนรู้การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุกันดูล่ะ? คุณอาจจะกลายเป็นนักพัฒนาที่ประสบความสำเร็จในอนาคต!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
Tag ที่น่าสนใจ: java c# vb.net python c c++ machine_learning web database oop cloud aws ios android
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM