ในยุคที่ข้อมูลนั้นถือเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด เชื่อว่าหลายคนคงจะคุ้นเคยกับคำว่า "ฐานข้อมูล" ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเก็บและจัดการข้อมูลให้เป็นระเบียบเรียบร้อย โดยทั่วไป ฐานข้อมูลจะถูกออกแบบมาเพื่อให้มีการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความซับซ้อนของข้อมูลให้มากที่สุด หนึ่งในกระบวนการที่สำคัญในการออกแบบฐานข้อมูล คือ การทำ Normalization ซึ่งเป็นกระบวนการที่ช่วยลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกกระบวนการหนึ่งที่ผู้ใช้งานอาจไม่คุ้นเคย คือ "Denormalization" หรือการทำความไม่เป็นปกติ
#### Denormalization คืออะไร?
Denormalization คือกระบวนการที่เรากลับมารวมข้อมูลบางส่วนหรือทั้งหมดในฐานข้อมูลเข้าด้วยกันอีกครั้งตามรูปแบบที่เคยถูกแยกออกไปในการทำ Normalization สาเหตุหลักที่ทำการ Denormalization ก็เพื่อเสริมให้ฐานข้อมูลสามารถทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น การทำ Denormalization อาจช่วยลดจำนวนข้อซักถาม (query) ที่ต้องสร้างความสัมพันธ์กันระหว่างตารางต่างๆ ซึ่งทำให้ใช้ทรัพยากรของระบบฐานข้อมูลน้อยลง
ลองนึกภาพกรณีศึกษาที่มีสองตาราง คือ ตารางสมาชิก (Members) และตารางที่อยู่อาศัยของสมาชิก (Addresses) ซึ่งในการทำ Normalization ต้อนการจัดเก็บข้อมูล เราอาจแยกข้อมูลที่อยู่ของสมาชิกแต่ละรายออกจากข้อมูลสมาชิกเพื่อไม่ให้มีการซ้ำซ้อน จนกระทั่งถึงจุดที่พบว่าเราต้องทำการขอข้อมูลที่อยู่ของทุกสมาชิกบ่อยครั้ง ซึ่งการทำ Denormalization โดยการรวมตารางทั้งสองเข้าด้วยกันอาจทำให้การดึงข้อมูลเร็วขึ้น
#### ประโยชน์และข้อเสียของ Denormalization
#### กรณีศึกษาและตัวอย่างโค้ด
สมมุติว่าเรามีตารางสองตารางดังนี้
##### ตาราง Members
CREATE TABLE Members (
MemberID INT PRIMARY KEY,
Name VARCHAR(100),
JoinDate DATE
);
##### ตาราง Addresses
CREATE TABLE Addresses (
AddressID INT PRIMARY KEY,
MemberID INT,
Address VARCHAR(255),
FOREIGN KEY (MemberID) REFERENCES Members(MemberID)
);
โดยปกติการดึงข้อมูลที่อยู่ของสมาชิกจะต้องใช้การ Join เช่น:
SELECT Members.Name, Addresses.Address
FROM Members
JOIN Addresses ON Members.MemberID = Addresses.MemberID;
แต่หากเราทำ Denormalization เราอาจรวมสองตารางนี้เข้าด้วยกันเพื่อทำให้ง่ายต่อการเรียกข้อมูล
##### ตารางแบบ Denormalized
CREATE TABLE MembersWithAddress (
MemberID INT PRIMARY KEY,
Name VARCHAR(100),
JoinDate DATE,
Address VARCHAR(255)
);
แล้วสามารถดึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น:
SELECT Name, Address FROM MembersWithAddress;
#### จุดสำคัญในการตัดสินใจทำ Denormalization
การเลือกว่าควรทำ Denormalization หรือไม่จำเป็นต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบ โดยพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความถี่ในการเรียกข้อมูล ความซ้ำซ้อนที่จะเกิดขึ้น และปริมาณทรัพยากรที่มีอยู่
สุดท้ายนี้ การทำ Denormalization ใช้ได้ผลดีในสถานการณ์ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หากคุณสนใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการออกแบบและจัดการฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงหัวข้ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเขียนโปรแกรม สามารถพิจารณาเข้าร่วมเรียนที่สถาบัน Expert-Programming-Tutor (EPT) ซึ่งมีหลักสูตรที่ครอบคลุมและทันสมัยเสมอ
ในการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จะช่วยส่งเสริมให้คุณสามารถรับมือกับความท้าทายทางด้านไอทีในอนาคตได้อย่างมั่นใจ
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
Tag ที่น่าสนใจ: java c# vb.net python c c++ machine_learning web database oop cloud aws ios android
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM