โลกเทคโนโลยีที่เราอยู่ในปัจจุบัน พึ่งพาอาศัยการติดต่อสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายมากกว่าที่เราจะคาดคิด ทั้งการส่งข้อมูลระหว่างกัน จนไปถึงการสื่อสารผ่านโปรโตคอลต่าง ๆ แต่ทำไมระบบเครือข่ายถึงทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ หนึ่งในพื้นฐานที่เป็นหัวใจของการเข้าใจโลกของการสื่อสารข้อมูลนี้ก็คือ OSI Model (Open Systems Interconnection Model)
OSI Model เป็นโมเดลอ้างอิงที่ใช้เพื่ออธิบายวิธีการทำงานของระบบเครือข่าย โดยแบ่งการทำงานออกเป็น 7 ชั้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายขึ้น ชั้นเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อแบ่งแยกหน้าที่และความรับผิดชอบสำหรับการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์ ดังนี้:
1. Physical Layer: ชั้นนี้เกี่ยวกับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์จริงที่เชื่อมโยงกัน เช่น สายเคเบิล, สวิทช์ และปัญหาทางกายภาพเช่นสัญญาณรบกวน 2. Data Link Layer: ดูแลการเชื่อมต่อระหว่างสองเครื่อง แก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดจากการส่งข้อมูล และจัดการการใช้ทรัพยากร 3. Network Layer: รับผิดชอบการหาเส้นทางสำหรับการส่งข้อมูลและกำหนดเส้นทางระหว่างระบบ 4. Transport Layer: ดูแลการถ่ายโอนข้อมูลอย่างมีเสถียรภาพและปรับขนาดข้อมูลให้เหมาะสม 5. Session Layer: จัดการการสร้าง, บำรุงรักษา, และการสิ้นสุดของ session ที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ใช้ 6. Presentation Layer: รับผิดชอบการแปลงข้อมูลที่รับส่งให้สามารถอ่านและแปลความหมายได้อย่างถูกต้อง 7. Application Layer: ชั้นบนสุดที่เกี่ยวข้องกับโปรโตคอลการสื่อสารและบริการที่นำไปสู่ประสบการณ์ผู้ใช้
ลองนึกถึงเวลาที่คุณส่งอีเมล จากคอมพิวเตอร์ของคุณถึงเพื่อนที่อยู่คนละทวีป ระบบจะทำงานอย่างไร?
1. Application Layer: เริ่มต้นจากโปรแกรมอีเมลที่คุณใช้งาน 2. Presentation Layer: ตรวจสอบรูปแบบข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสให้ถูกต้อง 3. Session Layer: สร้าง session สำหรับการสื่อสารระหว่างคุณและเซิร์ฟเวอร์อีเมล 4. Transport Layer: แบ่งข้อมูลอีเมลออกเป็นหลายส่วน (packets) 5. Network Layer: หาตำแหน่งเป้าหมายและกำหนดเส้นทางที่ดีที่สุด 6. Data Link Layer: ส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายท้องถิ่น 7. Physical Layer: ข้อมูลถูกส่งเป็นสัญญาณไฟฟ้าผ่านสายเคเบิลเมื่อถึงปลายทาง ชั้นเหล่านี้จะทำงานย้อนกลับกันจนในที่สุดเพื่อนของคุณก็ได้รับอีเมลในรูปแบบที่สามารถเข้าใจและอ่านได้
แม้ว่า OSI Model จะเป็นโมเดลทางทฤษฎี แต่การเขียนโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายก็มีความสำคัญไม่น้อย นี่คือตัวอย่างโปรแกรม Python ง่าย ๆ ที่แสดงถึงการทำงานของ Transport Layer สำหรับการส่งข้อมูลผ่าน TCP socket:
import socket
def main():
server_address = ('localhost', 65432)
message = "Hello, Network!"
# สร้าง TCP/ IP socket
with socket.socket(socket.AF_INET, socket.SOCK_STREAM) as sock:
# เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์
sock.connect(server_address)
print(f"Connected to {server_address}")
try:
# ส่งข้อความ
sock.sendall(message.encode())
print("Message sent!")
# รอรับข้อมูลกลับจากเซิร์ฟเวอร์
response = sock.recv(1024)
print(f"Received: {response.decode()}")
finally:
print("Closing connection")
sock.close()
if __name__ == "__main__":
main()
OSI Model เป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาในสายงานเครือข่ายและระบบคอมพิวเตอร์ การเข้าใจการทำงานของแต่ละชั้นจะช่วยให้เราสามารถวินิจฉัยและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อเครือข่ายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพและมีเสถียรภาพในโลกของเทคโนโลยีสารสนเทศ
หากคุณสนใจที่จะเจาะลึกในการศึกษาวิชาเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมและระบบเครือข่าย คอร์สเรียนที่ Expert-Programming-Tutor (EPT) อาจเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในอนาคตของคุณ อย่ารอช้าที่จะเริ่มต้นการเรียนรู้ที่มีคุณค่านี้!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
Tag ที่น่าสนใจ: java c# vb.net python c c++ machine_learning web database oop cloud aws ios android
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM