ในโลกของการพัฒนาซอฟต์แวร์ การสร้างและพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพสูงและสามารถใช้งานได้ยาวนานนั้นเป็นความท้าทายอันยิ่งใหญ่ หนึ่งในหัวข้อที่ซ่อนอยู่ในเบื้องหลังเหล่านี้ คือ "Technical Debt" ซึ่งเมื่อได้ยินคำนี้แล้ว บางคนอาจนึกถึงหนี้สินทางการเงิน แต่ในบริบทของซอฟต์แวร์ Technical Debt นั้นหมายถึงอะไรบ้าง? และทำไม Software Engineer ถึงควรให้ความสำคัญกับการจัดการมัน?
Technical Debt คือคำที่ใช้อธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อในโค้ดมีการตัดสินใจที่ลดคุณภาพของซอฟต์แวร์ในระยะยาว เพื่อให้ได้ผลผลิตทันทีในระยะสั้น เช่น การใช้วิธีการเขียนโค้ดที่ไม่ดีพอเพียงเพื่อให้โปรเจคเสร็จเร็วขึ้น โดยที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับโครงสร้างของโค้ดหรือหลักการออกแบบที่ดีพอ
Technical Debt สามารถเปรียบเทียบกับหนี้ทางการเงินที่เมื่อเราตัดสินใจยืมเงิน เราต้องจ่ายดอกเบี้ย เช่นเดียวกับ Technical Debt ที่มีค่าใช้จ่ายซ่อนอยู่ซึ่งจะต้องจ่ายในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงรักษาหรือการพัฒนาใหม่เพื่อปรับปรุงคุณภาพ
มันเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อการพัฒนาซอฟต์แวร์ในระยะยาว รวมถึงมีผลต่อประสิทธิภาพของทีมพัฒนา ดังนี้:
1. ส่งผลต่อประสิทธิภาพ: Technical Debt ที่สะสมสามารถทำให้งานบำรุงรักษาถูกดึงกลับมาหยุดชะงัก เนื่องจากต้องเสียเวลามากในการแก้บั๊กหรือลูปของโค้ดที่ซับซ้อน 2. ยืดเวลาในการพัฒนา: การเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาต่อในซอฟต์แวร์อาจใช้เวลานานขึ้นหากมี Technical Debt มาก เนื่องจากโครงสร้างของโค้ดที่ไม่ดีพอ 3. ลดคุณภาพ: ความไม่เป็นระเบียบของโค้ดอาจทำให้ความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของซอฟต์แวร์ตกต่ำลง
การลด Technical Debt นั้นถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและควรต้องได้รับการจัดการอย่างเป็นระบบ มาดูกันว่ามีวิธีใดบางที่ Software Engineer สามารถใช้ในการจัดการ Technical Debt ได้
1. การสร้างโค้ดที่สะอาด (Clean Code): การสร้างโค้ดที่สะอาดและมีการจัดระเบียบดีจะช่วยป้องกันการสะสมของ Technical Debt การทำความเข้าใจแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในโค้ดเช่นการใช้ชื่อที่มีความหมายและมีโครงสร้างที่ชัดเจนเป็นพื้นฐานที่ดี
# ตัวอย่างโค้ดที่สะอาด
def add_customer_to_database(database, customer):
if not database.is_connected():
raise DatabaseError("ไม่สามารถเชื่อมต่อฐานข้อมูลได้")
database.add(customer)
2. การ Refactor: การ Refactor หรือการปรับปรุงโค้ดให้ดีขึ้นโดยไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของซอฟต์แวร์เป็นวิธีการที่สำคัญในการลด Technical Debt ควรมีการทำ refactor เป็นระยะๆ เพื่อบำรุงรักษาโค้ด
3. Automated Testing: การทดสอบอัตโนมัติช่วยให้มั่นใจได้ว่าโค้ดที่ Refactor ไปหรือการพัฒนาใหม่ ไม่มี bug ใหม่เพิ่มขึ้น เป็นเครื่องมือที่ช่วยลด Technical Debt ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. การวางแผนและจัดลำดับความสำคัญ: การพิจารณาและวางแผน Technical Debt ควรอยู่ใน roadmap ของการพัฒนาซอฟต์แวร์ จำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญและทำการแก้ไข Technical Debt ที่มีผลกระทบมากที่สุดก่อน
เพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญของการจัดการ Technical Debt ลองมาดูกรณีศึกษาจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ของบริษัทตัวอย่างที่เลือกที่จะปล่อยคุณภาพของโค้ดในช่วงแรกเพื่อตอบสนองความต้องการทันที แต่ในระยะยาวกลับต้องเสียเวลาและทรัพยากรในการบำรุงรักษามากขึ้น
บริษัทได้ตัดสินใจลงทุนใน Refactor โค้ดและปรับเปลี่ยนกระบวนการพัฒนาโดยเพิ่มการทดสอบอัตโนมัติ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในระยะยาวลดลงและสามารถปล่อยฟีเจอร์ใหม่ได้เร็วขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการ Technical Debt
Technical Debt เป็นปัญหาที่ท้าทายในการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ต้องการการจัดการที่ดี หากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความต่อเนื่องและความสำเร็จในระยะยาว การให้ความสำคัญและการบำรุงรักษาโค้ดอย่างสม่ำเสมอคือกุญแจในการหลีกเลี่ยงปัญหานี้
การเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการและการลด Technical Debt นั้นถือเป็นทักษะที่จำเป็นที่ Software Engineer ควรมีในการทำงาน เพื่อให้สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุณภาพ หากคุณต้องการเพิ่มพูนทักษะในด้านนี้ อาจพิจารณาเรียนเพิ่มเติมกับสถาบันที่มีคุณภาพเช่น EPT (Expert-Programming-Tutor) ที่มีการสอนเทคนิคและแนวคิดใหม่ๆ ในการพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างมืออาชีพ
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
Tag ที่น่าสนใจ: java c# vb.net python c c++ machine_learning web database oop cloud aws ios android
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM