เมื่อพูดถึงการจัดการข้อมูลในแวดวงโปรแกรมมิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเซิร์ฟเวอร์หรือเก็บบันทึกข้อมูล การเลือกใช้รูปแบบของข้อมูลที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่ง XML (eXtensible Markup Language) และ GraphQL คือสองรูปแบบข้อมูลที่นักโปรแกรมเมอร์หลายคนคุ้นเคย แม้ว่า XML จะมีความเก่าแก่กว่า แต่มันก็ยังมีบทบาทที่สำคัญในหลายโครงการ ในทางกลับกัน GraphQL ซึ่งเปิดตัวโดย Facebook ในปี 2015 เป็นตัวเลือกที่ใหม่กว่าและมีการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้นในยุคของ RESTful API เรามาวิเคราะห์กันอย่างละเอียดเพื่อเข้าใจถึงการใช้งาน เสริมด้วยกรณีตัวอย่างและโค้ด เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้กับนักเรียนวิทยาคอมพิวเตอร์
XML ได้รับการพัฒนาเพื่อให้ข้อมูลสามารถจัดรูปแบบและแลกเปลี่ยนได้อย่างเข้าใจง่าย มีโครงสร้างที่สามารถกำหนดเอง ซึ่งทำให้มันเป็นที่นิยมในยุคต้น ๆ ของเว็บเซอร์วิส ตัวอย่างโครงสร้างของเอกสาร XML:
<?xml version="1.0" encoding="UTF-8"?>
<note>
<to>Tove</to>
<from>Jani</from>
<heading>Reminder</heading>
<body>Don't forget me this weekend!</body>
</note>
ในโค้ดข้างต้น เราสามารถเห็นถึงความชัดเจนในเรื่องของแอตทริบิวต์และค่า แต่อย่างไรก็ตามความยาวและซับซ้อนของซินแทกซ์คือจุดที่ XML ถูกวิจารณ์บ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้ ซีรีส์หรือองค์กรหลายแห่งจึงเริ่มมองหาทางเลือกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและประหยัดเเบนวิธ
แม้จะมีข้อดี แต่นักพัฒนากลับพบว่า XML มีข้อจำกัดในด้านการทำงานด้านโครงสร้างข้อมูลที่ซับซ้อน และนำไปสู่การใช้งานรูปแบบอื่น ๆ ที่เป็นมิตรต่อการปรับขยาย และจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนมากขึ้น
GraphQL เป็นภาษาสำหรับการดึงข้อมูลที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถระบุข้อมูลที่ต้องการได้อย่างชัดเจน ทำให้ลดการดึงข้อมูลที่ไม่จำเป็น ตัวอย่างคำขอของ GraphQL:
{
book(id: "1") {
title
author {
name
}
publicationYear
}
}
ข้อดีของ GraphQL:
1. ขนาดข้อมูลที่กำหนดได้: ลูกค้าสามารถเลือกดึงเฉพาะข้อมูลที่ต้องการได้ 2. ลดจำนวนคำขอ: การรวบรวมหลายคำขอข้อมูลเป็นคำขอเดียวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ 3. ปรับขยายง่าย: สามารถเพิ่มประเภทหรือฟิลด์ใหม่โดยไม่ส่งผลกระทบต่อคำขอเดิมGraphQL เหมาะอย่างยิ่งสำหรับแอปพลิเคชันที่มีการใช้ข้อมูลอย่างละเอียดและหลากหลาย เช่น แอปมือถือหรือเว็บเซอร์วิสที่ต้องการประสิทธิภาพสูง
เพื่อให้เห็นภาพการใช้งานที่ชัดเจน เรามาดูกรณีศึกษาการเลือกใช้ XML และ GraphQL ในสภาพแวดล้อมต่างๆ และเมื่อใดที่ควรเลือกใช้แต่ละชนิด
- XML: เหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลที่ต้องการการแลกเปลี่ยนระหว่างระบบต่างๆ เช่น การเชื่อมต่อบริการขององค์กร (B2B) หรือการเก็บข้อมูลเอกสารที่มีการจัดรูปแบบซับซ้อน - GraphQL: เหมาะสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันบนแพลตฟอร์มที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง เช่น แอปพลิเคชันมือถือที่มีจำนวนผู้ใช้งานจำนวนมากและต้องการการตอบสนองที่เร็ว
การเลือกใช้ XML หรือ GraphQL ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและความต้องการของโปรเจ็กต์ หากโปรเจ็กต์ของคุณจำเป็นต้องเก็บเอกสารที่มีโครงสร้างซับซ้อนและต้องการการเข้ากันได้กับหลายแหล่ง XML ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าคุณกำลังมองหาโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสำหรับการใช้งาน API ที่ต้องการความคล่องตัวและการปรับแต่ง GraphQL คือคำตอบ
สุดท้าย การเข้าใจและรู้จักการใช้เครื่องมือเหล่านี้ให้เหมาะสม จะทำให้คุณเป็นนักพัฒนาโปรแกรมที่มีความเชี่ยวชาญและสามารถปรับตัวได้ในทุกสภาวะแวดล้อม ถ้าคุณกำลังสนใจที่จะเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านโปรแกรมมิ่ง อย่าลืมสำรวจหลักสูตรต่าง ๆ ที่เราเสนอมาให้คุณที่ EPT เพื่อเพิ่มเติมความรู้และเปิดโอกาสใหม่ในเส้นทางอาชีพของคุณ!
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
Tag ที่น่าสนใจ: java c# vb.net python c c++ machine_learning web database oop cloud aws ios android
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM