สมัครเรียนโทร. 085-350-7540 , 084-88-00-255 , ntprintf@gmail.com

XML

Introduction to XML XML Full Form: eXtensible Markup Language History of XML XML vs HTML XML vs JSON Structure of XML XML Syntax Rules XML Elements Explained XML Attributes Explained XML Tags XML Prolog XML Declaration XML Namespaces XML Data Types XML Comments XML Empty Elements XML Well-Formed Documents XML Valid Documents XML DTD (Document Type Definition) XML Schema Definition (XSD) XML vs XSD XML vs DTD XML Namespaces Best Practices XML Parsers XML DOM (Document Object Model) SAX Parser in XML XML Parsing in Java XML Parsing in Python XML Parsing in C# XML Parsing in JavaScript XML with PHP How to Read XML Files How to Write XML Files How to Validate XML XML Formatting and Pretty Print XML Minification XML Tree Structure XML as a Data Interchange Format XML in Web Services SOAP and XML REST vs SOAP (XML in APIs) XML in AJAX XMLHTTPRequest in JavaScript XML in Mobile Applications How to Transform XML with XSLT XSLT for Formatting XML XPath Overview XPath Syntax XPath Expressions and Queries XML Query Languages XQuery Overview XLink for XML Linking XPointer for XML Fragment Identification XML for Configuration Files Storing XML in Databases XML in MySQL XML in PostgreSQL XML in SQL Server XML in Oracle Database XML Indexing XML Data Modeling XML and SOAP Faults XML Encryption XML Digital Signatures Security Best Practices for XML XML Schema Elements XML Schema Attributes XML Schema Validation XML Schema Restrictions and Extensions XML Schema Choice and Sequence Benefits of Using XML Limitations of XML XML in Big Data XML and NoSQL Databases XML for IoT Applications XML in E-commerce Systems XML for Document Storage XML for Multimedia Content XML in Content Management Systems XML and Microservices XML and Cloud Computing XML for RSS Feeds Atom and XML Feeds XML in Office Document Formats (DOCX, XLSX) XML and SVG (Scalable Vector Graphics) XML for Vector Graphics XML Compression Techniques XML with WebSockets XML in Real-Time Applications JSON vs XML Performance XML and CORS (Cross-Origin Resource Sharing) XML for API Design Common XML Parsing Errors Debugging XML Converting XML to JSON Converting JSON to XML XML Best Practices XML Versioning XML and GraphQL The Future of XML

XML Namespaces

 

ในโลกของการพัฒนาโปรแกรม XML (Extensible Markup Language) เป็นหนึ่งในภาษาที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายสำหรับการแลกเปลี่ยนและเก็บข้อมูล ในหลายๆ ระบบ การทำงานของ XML ต้องร่วมกับความสามารถในการระบุข้อมูลที่มีโครงสร้างอย่างแม่นยำ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ทำให้ XML เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แต่เมื่อเอกสาร XML มีความซับซ้อนและมีหลายส่วนที่มีชื่อคล้ายกัน XML Namespaces จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหานี้ บทความนี้จะพาคุณทำความรู้จักกับ XML Namespaces ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงการนำไปใช้จริง

 

อะไรคือ XML Namespaces?

XML Namespaces คือวิธีในการทำให้ชื่อกำกับ (Element และ Attribute) ใน XML มีความเป็นเอกลักษณ์ในเอกสารเดียวกัน หรือระหว่างเอกสารต่างๆ โดยการใช้คำนำหน้า (prefix) และ URI (Uniform Resource Identifier) ซึ่งทำให้สามารถอ้างอิงถึงชื่อเดียวกันที่อยู่ในบริบทแตกต่างกันได้

 

ทำไมเราต้องใช้ XML Namespaces?

1. จัดการกับชื่อที่ซ้ำกัน: ในเอกสาร XML ขนาดใหญ่ อาจมีชื่อของ Element หรือ Attribute ที่ซ้ำกันหรือคล้ายคลึงกัน การใช้ Namespaces ช่วยแยกแยะความหมายของชื่อเหล่านี้ได้ เช่นเดียวกับการมีชื่อในชื่อสกุลที่ต่างกันในระบบฐานข้อมูล

2. การรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง: เมื่อ XML ทำงานร่วมกับเอกสารหรือข้อมูลจากหลายแหล่งที่มาซึ่งอาจมีชื่อกำกับที่เหมือนกัน การใช้ Namespaces จะช่วยให้สามารถรวมและประสานข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

วิธีการใช้งาน XML Namespaces

การประกาศ XML Namespaces สามารถทำได้โดยการเพิ่ม Attribute `xmlns` ที่ Element ที่ต้องการ ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งรูปแบบเงียบหรือระบุตำแหน่ง ดังนี้:


<document xmlns:finance="http://www.example.com/finance">
    <finance:transaction>
        <finance:amount>1500</finance:amount>
        <finance:currency>USD</finance:currency>
    </finance:transaction>
    <description>รายละเอียดอื่นๆ</description>
</document>

ในตัวอย่างด้านบน คำนำหน้า `finance` ถูกใช้เพื่อระบุว่า Elements ที่เกี่ยวข้องนั้นเป็นส่วนหนึ่งของ Namespaces ที่ระบุอยู่ที่ URI `http://www.example.com/finance`

 

การใช้ Default Namespace

ถ้าต้องการให้ Namespaces ที่ถูกกำหนดใช้กับทุก Elements ที่ไม่มีคำนำหน้า สามารถทำได้โดยการประกาศเป็น Default Namespace เช่น:


<document xmlns="http://www.example.com/finance">
    <transaction>
        <amount>1500</amount>
        <currency>USD</currency>
    </transaction>
</document>

ในกรณีนี้ ทุก Element ภายใต้ `<document>` จะถือว่าอยู่ใน Namespaces ของ `http://www.example.com/finance` จึงไม่จำเป็นต้องใช้คำนำหน้า

 

ความสำคัญในการพัฒนาโปรแกรม

การใช้ XML Namespaces มีความสำคัญอย่างมากในงานพัฒนาโปรแกรม โดยเฉพาะการพัฒนาที่ต้องมีการรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ และในระบบที่ซับซ้อน นอกจากนี้ Namespaces ยังช่วยในการปรับปรุงการทำงานร่วมกันระหว่างทีมพัฒนาและระบบภายนอก ช่วยทำให้โครงสร้างข้อมูลมีความชัดเจนและสามารถตรวจจับข้อผิดพลาดได้ง่ายขึ้น

 

กรณีศึกษา: การประยุกต์ใช้ XML Namespaces

ลองนึกภาพคุณกำลังพัฒนาแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล โดยข้อมูลบางอย่างจะมาจากฐานข้อมูลภายในองค์กร แต่ข้อมูลบางส่วนจะดึงมาจากบริการภายนอก เช่นการแลกเปลี่ยนข้อมูลการเงิน เป็นที่ชัดเจนว่าคุณจะต้องการใช้ XML Namespaces เพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้งของชื่อข้อมูล


<company xmlns:internal="http://www.example.com/internal"
         xmlns:external="http://www.example.com/external">
    <internal:employee id="123">
        <internal:name>John Doe</internal:name>
        <internal:department>HR</internal:department>
    </internal:employee>
    <external:salary id="123">
        <external:amount>50000</external:amount>
        <external:currency>USD</external:currency>
    </external:salary>
</company>

การนำ Namespaces มาใช้ในตัวอย่างนี้ ทำให้สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่า Element ใดมาจากภายในองค์กรและ Element ใดมาจากบริการภายนอก

 

บทสรุป

การทำความเข้าใจ XML Namespaces เป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อ XML เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนาโปรแกรมของคุณ ด้วยการสร้างและจัดการ Namespaces อย่างถูกต้อง คุณจะสามารถทำให้เอกสาร XML ให้ความขัดแย้งน้อยลงและมีความสอดคล้องทั้งในเชิงโครงสร้างและการนำไปใช้ นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่ดีในการศึกษาและทดลองใช้งานจริงเพื่อพัฒนาทักษะด้านการพัฒนาของคุณ และถ้าคุณกำลังมองหาสถานที่เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาโปรแกรม EPT (Expert-Programming-Tutor) คือที่ที่เหมาะสมที่จะช่วยคุณพัฒนาทักษะด้านนี้ได้อย่างเต็มที่

 

 

หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง

หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/


Tag ที่น่าสนใจ: java c# vb.net python c c++ machine_learning web database oop cloud aws ios android


บทความนี้อาจจะมีที่ผิด กรุณาตรวจสอบก่อนใช้

หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor

ไม่อยากอ่าน Tutorial อยากมาเรียนเลยทำอย่างไร?

สมัครเรียน ONLINE ได้ทันทีที่ https://elearn.expert-programming-tutor.com

หรือติดต่อ

085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM

แผนที่ ที่ตั้งของอาคารของเรา

แผนผังการเรียนเขียนโปรแกรม

Link อื่นๆ

Allow sites to save and read cookie data.
Cookies are small pieces of data created by sites you visit. They make your online experience easier by saving browsing information. We use cookies to improve your experience on our website. By browsing this website, you agree to our use of cookies.

Copyright (c) 2013 expert-programming-tutor.com. All rights reserved. | 085-350-7540 | 084-88-00-255 | ntprintf@gmail.com

ติดต่อเราได้ที่

085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM
แผนที่ ที่ตั้งของอาคารของเรา