CSS หรือ Cascading Style Sheets เป็นเครื่องมือสำคัญในโลกของการพัฒนาเว็บไซต์ มันช่วยให้เราควบคุมการแสดงผลของเว็บไซต์ได้ตามต้องการ ตั้งแต่สีสัน ขนาดตัวอักษร ไปจนถึงการจัดวางองค์ประกอบต่างๆ ในบทความนี้ เราจะมาสำรวจเกี่ยวกับการใช้คุณสมบัติ `visibility` และการซ่อนแสดงองค์ประกอบ (`Hidden Element`) ผ่านตัวอย่างและกรณีศึกษา รวมถึงให้คำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจเป็นประโยชน์ในการพัฒนาเว็บไซต์ของคุณ
คุณสมบัติ `visibility` ใน CSS ใช้สำหรับควบคุมว่าจะให้แสดงหรือซ่อนองค์ประกอบบนหน้าเว็บ โดยมีค่าสองค่าที่ใช้บ่อยๆ คือ `visible` และ `hidden`
- visible: กำหนดให้แสดงองค์ประกอบ (เป็นค่าปกติ เมื่อคุณประกาศ `visibility`) - hidden: กำหนดให้ซ่อนองค์ประกอบ แต่จะยังคงพื้นที่ว่างขององค์ประกอบนั้นไว้ตัวอย่างการใช้ `visibility`:
.hidden-element {
visibility: hidden;
}
ในตัวอย่างด้านบน องค์ประกอบที่มีคลาส `hidden-element` จะถูกซ่อน แต่จะยังคงกินพื้นที่เหมือนตอนที่เห็นองค์ประกอบนั้นอยู่
เมื่อพูดถึงการซ่อนองค์ประกอบ หลายคนอาจสับสนกับการใช้ `display: none` ซึ่งเป็นวิธีที่มีความแตกต่างจาก `visibility: hidden`
- display: none: ซ่อนองค์ประกอบแต่ยังส่งผลกระทบต่อการวางตัวขององค์ประกอบรอบข้าง กล่าวคือ พื้นที่จะหายไปเหมือนไม่เคยมีองค์ประกอบนั้นอยู่ตัวอย่างการใช้ `display: none`:
.no-display-element {
display: none;
}
กรณีการใช้ `display: none` จะเหมาะสมเมื่อคุณต้องการซ่อนองค์ประกอบทั้งหมดและไม่ต้องการให้กินพื้นที่ เช่นการซ่อนเมนูที่ไม่ใช้งานอยู่
การพัฒนาเว็บไซต์ที่มีเมนูหลักซ่อน/แสดงได้เป็นสิ่งที่พบเห็นบ่อย นี่คือตัวอย่างการนำความรู้เกี่ยวกับ `visibility` และ `display` ไปใช้:
HTML:
<button id="toggleMenu">Toggle Menu</button>
<div id="menu" class="hidden-element">
<ul>
<li>Home</li>
<li>About</li>
<li>Contact</li>
</ul>
</div>
CSS:
#menu {
visibility: hidden;
}
JavaScript:
document.getElementById("toggleMenu").addEventListener("click", function() {
var menu = document.getElementById("menu");
if (menu.style.visibility === "hidden") {
menu.style.visibility = "visible";
} else {
menu.style.visibility = "hidden";
}
});
จากตัวอย่างนี้ ผู้ใช้สามารถกดปุ่มเพื่อแสดงหรือซ่อนเมนูได้ การใช้ `visibility` ช่วยให้สามารถคงพื้นที่เมนูไว้แม้จะซ่อนเมนู การซ่อน/แสดงองค์ประกอบที่ใช้ `visibility` จะมีประโยชน์มากเมื่อต้องการจัดการกับพื้นที่ของหน้าเว็บที่ไม่ต้องการให้ยุ่งเหยิง
ถึงแม้ว่าวิธีการใช้งาน `visibility` และ `display` จะเป็นพื้นฐานใน CSS แต่การเลือกใช้อย่างเหมาะสมจะส่งผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้และประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ความยืดหยุ่นในการจัดการองค์ประกอบที่ซ่อนได้ช่วยให้หน้าเว็บไซต์มีระเบียบมากขึ้น ในขณะที่ต้องระวังการซ่อนเนื้อหาที่อาจมีความสำคัญในการให้ข้อมูล
การเลือกใช้ให้เหมาะสมควรพิจารณาถึงโครงสร้างของเว็บไซต์ และความต้องการบริบทการใช้งานของผู้ใช้อย่างละเอียด
สำหรับผู้ที่สนใจในการศึกษาเพิ่มพูนทักษะด้านการพัฒนาเว็บไซต์ สามารถหาแหล่งเรียนรู้หรือร่วมคอร์สต่างๆ ที่จะช่วยเพิ่มทักษะด้าน CSS และการออกแบบเว็บได้
การเข้าใจถึงการใช้ `visibility` และ `display` รวมถึงสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยเปิดโอกาสในการพัฒนางานออกแบบให้เป็นมืออาชีพในอนาคตต่อไป และอาจเป็นประโยชน์หากคุณเลือกศึกษาเพิ่มเติมกับแหล่งเรียนรู้เฉพาะทาง เช่น EPT ที่มีคอร์สที่ครอบคลุมด้านการพัฒนาเว็บไซต์อย่างละเอียด
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
Tag ที่น่าสนใจ: java c# vb.net python c c++ machine_learning web database oop cloud aws ios android
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM