การใช้งาน Polymorphism ในแนวคิด OOP ด้วยภาษา Next.js

เมื่อพูดถึงการเขียนโปรแกรมโดยใช้แนวคิด OOP (Object-Oriented Programming) เราจะพบว่า Polymorphism เป็นหนึ่งในคุณสมบัติหลักที่ช่วยให้โปรแกรมมีความยืดหยุ่นและสามารถขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้เราจะมาสำรวจการใช้งาน Polymorphism ในภาษา Next.js กัน พร้อมทั้งตัวอย่างโค้ดและการอธิบายการทำงาน เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น

Polymorphism คืออะไร?

Polymorphism มาจากภาษากรีก ซึ่งแปลว่า "สภาพหรือรูปร่างหลายอย่าง" ในการเขียนโปรแกรม Polymorphism หมายถึงความสามารถของวัตถุในการแสดงพฤติกรรมที่แตกต่างกัน โดยปกติ Polymorphism จะถูกแยกเป็นสองประเภทหลักคือ:

ในตัวอย่างนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่ Run-time Polymorphism ซึ่งเป็นที่นิยมมากในแนวคิด OOP

การใช้งาน Polymorphism ใน Next.js

Next.js เป็น Framework ที่พัฒนาขึ้นบน React และมักถูกเลือกใช้ในการสร้างแอปพลิเคชัน และเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพ ในการแสดงผลแบบ Dynamic โดยเราจะใช้แนวทาง OOP เพื่อสร้าง Component ที่สามารถใช้งาน Polymorphism ได้

ตัวอย่างโค้ด

สมมุติว่าเราต้องการสร้างระบบการจัดการสัตว์เลี้ยง โดยที่เรามีสัตว์เลี้ยงหลายประเภท เช่น สุนัขและแมว เราสามารถใช้ Polymorphism เพื่อให้สุนัขและแมวนั้นสามารถใช้ฟังก์ชันเดียวกันในการเรียกใช้เสียงของพวกมัน

 // Animal.js
class Animal {
    speak() {
        console.log("Animal makes a sound.");
    }
}

// Dog.js
class Dog extends Animal {
    speak() {
        console.log("Woof! Woof!");
    }
}

// Cat.js
class Cat extends Animal {
    speak() {
        console.log("Meow! Meow!");
    }
}

// index.js
import Dog from './Dog';
import Cat from './Cat';

const animals = [new Dog(), new Cat()];

animals.forEach(animal => {
    animal.speak();
});

อธิบายการทำงานของโค้ด

Use Case ในโลกจริง

ตัวอย่าง 1: ระบบการจองตั๋วเครื่องบิน

ในระบบการจองตั๋วเครื่องบิน คุณสามารถสร้างคลาสสำหรับประเภทตั๋ว (เช่น Economy, Business, First) ซึ่งแต่ละชนิดจะแสดงประเภทต่าง ๆ ของบริการ ดังนี้:

 class Ticket {
    calculatePrice() {
        return 0;
    }
}

class EconomyTicket extends Ticket {
    calculatePrice() {
        return 100;
    }
}

class BusinessTicket extends Ticket {
    calculatePrice() {
        return 200;
    }
}

class FirstClassTicket extends Ticket {
    calculatePrice() {
        return 300;
    }
}

ในตัวอย่างนี้เราใช้ Polymorphism เพื่อให้แต่ละคลาสสามารถคำนวณราคาตั๋วในแบบของตนเองได้

ตัวอย่าง 2: ระบบการจัดการพนักงาน

ในการจัดการพนักงาน บริษัทอาจมีพนักงานหลายประเภท เช่น พนักงานประจำ พนักงานชั่วคราว และลูกจ้างชั่วคราว โดยแต่ละประเภทนี้สามารถมีวิธีการคำนวณเงินเดือนที่แตกต่างกัน แต่วิธีการเรียกใช้งานยังคงเหมือนเดิม

 class Employee {
    calculateSalary() {
        return 0;
    }
}

class FullTimeEmployee extends Employee {
    calculateSalary() {
        return 50000;
    }
}

class PartTimeEmployee extends Employee {
    calculateSalary() {
        return 25000;
    }
}

class TempEmployee extends Employee {
    calculateSalary() {
        return 15000;
    }
}

สรุป

Polymorphism คือหนึ่งในแนวคิดที่สำคัญใน OOP ที่ช่วยทำให้โค้ดของเรามีความยืดหยุ่นและง่ายต่อการขยาย โดยในภาษา Next.js เราสามารถนำเอาคุณลักษณะนี้มาใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างโค้ดที่เราได้แสดงให้เห็น จะทำให้คุณเข้าใจการทำงานของ Polymorphism ได้ดีขึ้น และนำไปปรับใช้ในโปรเจ็กต์ของคุณเอง

หากคุณสนใจที่จะเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านการเขียนโปรแกรม OOP และ Next.js อย่าลืมมาศึกษากับเราได้ที่ EPT (Expert-Programming-Tutor) ที่นี่เรามีหลากหลายคอร์สที่สามารถตอบโจทย์การเรียนรู้ของคุณ!

หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง