สมัครเรียนโทร. 085-350-7540 , 084-88-00-255 , ntprintf@gmail.com

Control Flow

Control Flow ในภาษา Go - การใช้ if และ else Control Flow ในภาษา Go - การใช้ else if Control Flow ในภาษา Go - การใช้ switch สำหรับการเลือกการทำงาน Control Flow ในภาษา Go - การใช้ fallthrough ใน switch Control Flow ในภาษา Go - การใช้ for สำหรับการวนลูป Control Flow ในภาษา Go - การใช้ range ในการวนลูป Array, Slice, และ Map Control Flow ในภาษา Go - การใช้ break เพื่อออกจากลูป Control Flow ในภาษา Go - การใช้ continue เพื่อข้ามการทำงานในลูป Control Flow ในภาษา Go - การใช้ goto สำหรับการกระโดดไปยัง Label Control Flow ในภาษา Go - การทำงานกับการจัดการข้อยกเว้น (Error Handling) Control Flow ในภาษา Go - การใช้ panic และ recover

Control Flow ในภาษา Go - การใช้ fallthrough ใน switch

 

บทความวิชาการ: Control Flow ในภาษา Go - การใช้ `fallthrough` ใน `switch`

การเข้าใจและควบคุมลำดับการทำงานของโปรแกรม (Control Flow) เป็นหนึ่งในพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการเขียนโปรแกรม ทุกภาษามีลักษณะการควบคุมลำดับการทำงานที่แตกต่างกันไป วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับหนึ่งในโครงสร้างควบคุมลำดับการทำงานที่น่าสนใจในภาษา Go นั่นก็คือการใช้ `fallthrough` ในโครงสร้าง `switch`

 

พื้นฐานการใช้ `switch` ในภาษา Go

ในภาษา Go โครงสร้าง `switch` ถูกใช้เพื่อทำการตรวจสอบค่า และเลือกดำเนินการตามเงื่อนไขที่ตรงกัน รูปแบบของ `switch` ในภาษา Go สามารถดูได้ดังนี้:


switch expression {
case value1:
    // statements
case value2:
    // statements
default:
    // statements
}

ประโยชน์ของ `switch` คือความชัดเจนและการอ่านง่าย ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับภาษาการเขียนโปรแกรมอื่นๆ แต่ Go เพิ่มเติมสิ่งที่เรียกว่า `fallthrough` ที่ทำให้ `switch` มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

 

`fallthrough` คืออะไร?

คำว่า `fallthrough` ในภาษา Go ใช้ในการบังคับให้โปรแกรมไปดำเนินการใน case ถัดไปโดยไม่ตรวจสอบเงื่อนไข แม้ว่าโครงสร้าง `switch` ของ Go จะไม่ได้จำเป็นต้องใช้คำสั่ง `break` เหมือนในภาษาอื่น แต่ `fallthrough` ให้เราสามารถออกแบบลำดับการทำงานที่ซับซ้อนได้โดยใช้ลอจิกของผู้เขียนโปรแกรมเอง

 

การใช้ `fallthrough` ในโค้ด

ลองดูตัวอย่างต่อไปนี้เพื่อเข้าใจการใช้งานของ `fallthrough`:


package main

import (
    "fmt"
)

func main() {
    number := 2
    switch number {
    case 1:
        fmt.Println("One")
    case 2:
        fmt.Println("Two")
        fallthrough
    case 3:
        fmt.Println("Three")
    default:
        fmt.Println("None of the above")
    }
}

ในโค้ดตัวอย่างนี้ ถ้าค่า `number` คือ 2 คำสั่ง `fmt.Println("Two")` จะถูกดำเนินการ และด้วย `fallthrough` จะทำให้ case ต่อไปถูกดำเนินการต่อ แม้ว่า `number` จะไม่เท่ากับ 3 ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็น:


Two
Three

 

เมื่อไรควรใช้ `fallthrough`

การใช้ `fallthrough` เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเพราะมันสามารถทำให้โค้ดของเราอ่านยากขึ้นและอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ หากใช้โดยไม่ระมัดระวัง การใช้ `fallthrough` ที่ดีควรประกอบไปด้วยการที่:

- โค้ดมีการจัดการที่ชัดเจนว่าทำไมถึงต้องการให้โค้ดตกลงมายัง case ถัดไป

- มีคำอธิบายหรือหมายเหตุเพื่อให้ผู้ที่เข้ามาอ่านโค้ดในภายหลังเข้าใจได้ง่าย

 

กรณีการใช้งาน (Use Case) ที่เหมาะสม

หนึ่งในกรณีที่ `fallthrough` สามารถมีบทบาทที่เหมาะสมคือตัวอย่างของการจัดการคะแนนที่เป็นแบ่งชั้น โดยที่เราอาจต้องการพิมพ์เกรดของนักเรียนและข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น:


package main

import (
    "fmt"
)

func main() {
    score := 70
    switch {
    case score >= 90:
        fmt.Println("Grade A")
    case score >= 80:
        fmt.Println("Grade B")
    case score >= 70:
        fmt.Println("Grade C")
        fallthrough
    case score >= 60:
        fmt.Println("At least passed!")
    default:
        fmt.Println("Fail")
    }
}

ในตัวอย่างนี้เมื่อคะแนนคือ 70 โค้ดจะพิมพ์ "Grade C" แล้วใช้ `fallthrough` เพื่อบอกว่านักเรียน "At least passed!" ด้วย

 

สรุป: `fallthrough` มีประโยชน์อย่างไรในภาษา Go

การเข้าใจการทำงานของ `fallthrough` จะช่วยให้โปรแกรมเมอร์ออกแบบโครงสร้าง `switch` ในภาษา Go ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งช่วยให้โปรแกรมมีความชัดเจนและยืดหยุ่นตามลักษณะการทำงานที่ต้องการ

สำหรับนักพัฒนาหรือนักศึกษาที่สนใจการเรียนรู้การเขียนโค้ดที่ซับซ้อนแต่เข้าใจง่าย ขอแนะนำให้ลองศึกษาและฝึกฝนการใช้ `switch` และ `fallthrough` เพิ่มเติม เพื่อเตรียมพร้อมที่จะพัฒนาทักษะที่สำคัญนี้ให้เชี่ยวชาญ

การศึกษาอย่างลึกซึ้งและการฝึกฝนเป็นสิ่งที่สำคัญ หากคุณสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมเชิงลึก สามารถพิจารณาเรียนรู้กับสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญเช่น EPT ที่มุ่งเน้นการพัฒนาความสามารถและทักษะทางโปรแกรมมิ่งอย่างเป็นระบบ

---

การเข้าใจและการใช้ `fallthrough` อย่างเหมาะสมจะทำให้คุณสร้างโค้ดที่มีประสิทธิภาพและอ่านได้ง่ายขึ้นายความรู้เหล่านี้จะทำให้คุณเติบโตในเส้นทางการพัฒนาโปรแกรมได้อย่างมั่นคงและก้าวหน้า

 

 

หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง

หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/


Tag ที่น่าสนใจ: java c# vb.net python c c++ machine_learning web database oop cloud aws ios android


บทความนี้อาจจะมีที่ผิด กรุณาตรวจสอบก่อนใช้

หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor

ไม่อยากอ่าน Tutorial อยากมาเรียนเลยทำอย่างไร?

สมัครเรียน ONLINE ได้ทันทีที่ https://elearn.expert-programming-tutor.com

หรือติดต่อ

085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM

แผนที่ ที่ตั้งของอาคารของเรา

แผนผังการเรียนเขียนโปรแกรม

Link อื่นๆ

Allow sites to save and read cookie data.
Cookies are small pieces of data created by sites you visit. They make your online experience easier by saving browsing information. We use cookies to improve your experience on our website. By browsing this website, you agree to our use of cookies.

Copyright (c) 2013 expert-programming-tutor.com. All rights reserved. | 085-350-7540 | 084-88-00-255 | ntprintf@gmail.com

ติดต่อเราได้ที่

085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM
แผนที่ ที่ตั้งของอาคารของเรา