ภาษาโปรแกรม Go หรือ Golang พัฒนาโดย Google เป็นภาษาโปรแกรมที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูง ทันสมัย และง่ายต่อการเขียนและอ่าน โครงสร้างการควบคุมลำดับการทำงาน (Control Flow) เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยในการกำหนดทิศทางของโปรแกรมซึ่งช่วยให้โปรแกรมสามารถทำงานตามเงื่อนไขที่กำหนดได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้ เราจะศึกษาเกี่ยวกับคำสั่ง `if` และ `else` ในภาษา Go รวมถึงตัวอย่างการใช้งานเบื้องต้นที่น่าสนใจ
คำสั่ง `if` ใช้ในการตรวจสอบเงื่อนไข เมื่อเงื่อนไขที่ถูกตรวจสอบนั้นเป็นจริง (`true`) โค้ดภายในบล็อกจะถูกดำเนินการ หากใช้คำสั่ง `else` ร่วมด้วย โปรแกรมจะดำเนินการตามเงื่อนไขในบล็อก `else` เมื่อเงื่อนไขใน `if` เป็นเท็จ (`false`)
ตัวอย่างการใช้ `if` และ `else`:
package main
import "fmt"
func main() {
age := 20
if age >= 18 {
fmt.Println("คุณเป็นผู้ใหญ่แล้ว")
} else {
fmt.Println("คุณยังไม่เป็นผู้ใหญ่")
}
}
จากตัวอย่างข้างต้น เมื่อโปรแกรมตรวจสอบพบว่าเงื่อนไข `age >= 18` เป็นจริง จึงแสดงข้อความว่า "คุณเป็นผู้ใหญ่แล้ว" แต่ถ้าค่า `age` มีค่าน้อยกว่า 18 โปรแกรมจะแสดงข้อความว่า "คุณยังไม่เป็นผู้ใหญ่"
ในกรณีที่มีหลายเงื่อนไขให้ตรวจสอบ สามารถใช้คำสั่ง `else if` เพื่อจัดการเงื่อนไขหลายเงื่อนไขได้:
package main
import "fmt"
func main() {
score := 85
if score >= 90 {
fmt.Println("คะแนนเยี่ยมยอด!")
} else if score >= 75 {
fmt.Println("คะแนนดีมาก")
} else if score >= 60 {
fmt.Println("คะแนนปานกลาง")
} else {
fmt.Println("ต้องพยายามต่อไป")
}
}
จากโค้ดข้างต้น เรามีเงื่อนไขที่ซับซ้อนมากขึ้นสำหรับการแสดงผลลัพธ์ที่ต่างกันตามช่วงของคะแนนที่แตกต่างกัน
ในภาษา Go สามารถใช้ท่านักเขียน `if` เพื่อการประกาศและตรวจสอบเงื่อนไขในบรรทัดเดียวกันได้ ทำให้โค้ดกระชับและชัดเจนดังนี้:
package main
import "fmt"
func main() {
if age := 20; age >= 18 {
fmt.Println("คุณเป็นผู้ใหญ่แล้ว")
} else {
fmt.Println("คุณยังไม่เป็นผู้ใหญ่")
}
}
ในกรณีนี้ตัวแปร `age` ประกาศและกำหนดค่าในเงื่อนไข `if` จะมีขอบเขตการใช้งาน (scope) เฉพาะภายในบล็อกของ `if` และ `else` เท่านั้น
ตัวอย่างต่อไปนี้คือการใช้ `if` และ `else` ในการตรวจสอบการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าสู่ระบบ:
package main
import "fmt"
func main() {
username := "admin"
password := "1234"
if username == "admin" && password == "1234" {
fmt.Println("ยินดีต้อนรับเข้าสู่ระบบ!")
} else {
fmt.Println("ชื่อผู้ใช้หรือรหัสผ่านไม่ถูกต้อง")
}
}
ตัวอย่างนี้เป็นการจำลองการตรวจสอบข้อมูลชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ถ้าทั้งสองข้อมูลถูกต้อง จะได้รับการยินดีเข้าสู่ระบบ หากไม่ โปรแกรมจะให้ข้อความแจ้งเตือนว่า "ชื่อผู้ใช้หรือรหัสผ่านไม่ถูกต้อง"
การใช้คำสั่ง `if` และ `else` ในภาษา Go ช่วยให้โปรแกรมสามารถตัดสินใจตามสถานการณ์และเงื่อนไขที่แตกต่างกันได้อย่างยืดหยุ่น เป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับโปรแกรมเมอร์ในการพัฒนาโปรแกรมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น หากท่านใดสนใจศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมภาษา Go หรือภาษาอื่นๆ สามารถค้นหาหลักสูตรที่เหมาะสมกับคุณได้ตามสถาบันการสอนหรือแหล่งความรู้ต่างๆ ที่มีให้บริการในปัจจุบัน
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อาจจะผิด โปรดตรวจสอบความถูกต้องของบทความอีกครั้งหนึ่ง บทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ ทาง EPT ไม่ขอยืนยันความถูกต้อง และไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดที่เกิดจากบทความชุดนี้ทั้งทางทรัพย์สิน ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อ่านและผู้เกี่ยวข้อง
หากเจอข้อผิดพลาด หรือต้องการพูดคุย ติดต่อได้ที่ https://m.me/expert.Programming.Tutor/
Tag ที่น่าสนใจ: java c# vb.net python c c++ machine_learning web database oop cloud aws ios android
หากมีข้อผิดพลาด/ต้องการพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทความนี้ กรุณาแจ้งที่ http://m.me/Expert.Programming.Tutor
085-350-7540 (DTAC)
084-88-00-255 (AIS)
026-111-618
หรือทาง EMAIL: NTPRINTF@GMAIL.COM